โอเคไหมถ้าจะไม่ต้องเข้าออฟฟิศแล้ว? มาดู 3 สิ่งที่จะเกิดขึ้น หากต้อง ‘Remote Working’ แบบถาวร

‘Work From Home’ (การทำงานจากที่บ้าน) รวมถึง ‘Hybrid Working’ (การทำงานที่บ้านสลับกับเข้าออฟฟิศ) คงเป็นระบบการทำงานที่เราคุ้นเคยกันเป็นอย่างดีแล้ว เพราะเราได้ทำงานแบบ Remote Working หรือการทำงานทางไกลกันมานานพอสมควร

แม้ในปัจจุบันนี้ จะมีจำนวนผู้ที่ได้รับการฉีดวัคซีนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ บวกกับการที่ผู้คนเริ่มปรับการใช้ชีวิตให้เข้ากับโรคระบาดได้แล้ว แต่หลายๆ บริษัทกลับมีแนวโน้มให้พนักงานทำงานแบบ ‘Remote Working’ เต็มรูปแบบ เนื่องจากในช่วงเวลาที่ผ่านมา ได้พิสูจน์แล้วว่า งานบางประเภทไม่มีความจำเป็นที่ต้องให้พนักงานเข้าไปที่บริษัท ด้วยเหตุนี้เอง ‘Remote Working’ จึงอาจกลายมาเป็นรูปแบบการทำงานโดยถาวรในอนาคต

วันนี้เราจะชวนคุณมาพิจารณาว่า หากนโยบาย ‘Remote Working’ ถูกประกาศใช้อย่างถาวรแล้ว จะส่งผลต่อการทำงานของเราอย่างไรบ้าง

ข้อดีของการทำงานแบบ Remote Working

1.แม้จะทำงาน ก็ยังได้ใช้ชีวิต

ช่วงการแพร่ระบาดโควิด-19 บริษัทได้ประกาศให้มีการทำงาน ‘Remote Working’ 100% พบว่า พนักงานส่วนมาก สามารถประหยัดค่าใช้จ่ายในการเดินทางมากขึ้น ได้ใช้เวลาอยู่กับครอบครัว นอกจากนี้ยังพบว่า อัตราการแต่งงานของพวกเขาก็เพิ่มขึ้นไปด้วย และในบางรายก็ได้เริ่มทำสิ่งที่อยากทำ หลังจากที่เลื่อนมานาน

โดย David Cancel ประธานบริษัทพัฒนาซอฟต์แวร์ ระบุว่า การทำงานแบบ ‘Remote Working’ จะส่งผลดีต่อพนักงานเอง เพราะว่าการเอาอกเอาใจเจ้านายในที่ทำงานจะไม่มีอีกต่อไป และนั่นจะทำให้การเลื่อนตำแหน่ง หรือการขึ้นเงินเดือนมีความยุติธรรมมากกว่าเดิม ดังนั้น เหล่าพนักงานจะใส่ใจต่อการทำงานได้อย่างเต็มที่ แทนการมานั่งคิดว่าเจ้านายจะคิดยังไงกับเรา

2.ทีมมีความหลากหลายมากขึ้น

David Smith ประธานบริษัทเครื่องนุ่งห่ม Cotopaxi กล่าวว่า ในช่วงการแพร่ระบาดนั้น บริษัทมีการเพิ่มจำนวนของพนักงานถึง 3 เท่า และการทำงานแบบ ‘Remote Working’ ก็ช่วยสร้างทีมที่หลากหลายได้ดีทีเดียว

โดยเขาให้เหตุผลว่า พอไม่มีเรื่องพื้นที่ในการทำงานเข้ามาเกี่ยวข้อง เขาก็สามารถสร้างทีมที่หลากหลายได้ อีกทั้งการทำงานของทีมก็สามารถเกิดขึ้นได้ทุกที่ นอกจากนี้เขายังกล่าวว่า การทำงานแบบ ‘Remote Working’ ทำให้เขาอยากสานสัมพันธ์กับพนักงาน มากกว่าตอนก่อนช่วงแพร่ระบาดโรคโควิด-19 เสียอีก

อย่างไรก็ตาม ปัญหาสุขภาพจิตและสุขภาพทางกาย ก็เป็นเรื่องที่เขาให้ความสำคัญเช่นกัน จึงมีการสำรวจถึงความต้องอะไรเพิ่มเติมจากการทำงาน หรือแม้แต่คำแนะนำต่างๆ อยู่เสมอ เพื่อป้องกันไม่ให้พนักงานเกิดภาวะหมดไฟ หรือ Burnout นั่นเอง

3. Remote Working ทำให้พนักงานมีความสุข

สิ่งหนึ่งที่เหล่าพนักงานประจำต้องการในการทำงานก็คือความยืดหยุ่น และสิ่งที่เอื้อให้เกิดความยืดหยุ่นก็คือคือ ‘Remote Working’

Cindy Owyoung รองประธานบริษัท Robinhood ซึ่งเป็นธุรกิจนายหน้าออนไลน์ ระบุว่า การทำงานแบบ Remote Working สร้างความเปลี่ยนแปลงที่ดีต่อการทำงานของพนักงานอย่างมาก เพราะการไม่กำหนดว่า พนักงานต้องทำงานที่ใด ทำให้พนักงานรู้สึกมีอิสระและสามารถสร้างสรรค์ผลงานได้ดีมากขึ้น และพบว่าความสุขในการทำงานก็เพิ่มขึ้นไปด้วย

แม้ว่าในปัจจุบันจะไม่มีบริษัทไหนออกมาประกาศให้มีการทำงานแบบ ‘Remote Working’ แบบ 100% ทว่า แนวโน้มที่รูปแบบการทำงานจะเปลี่ยนไปก็สูงขึ้นเรื่อยๆ หากทั้งผู้บริหารในองค์กร และพนักงาน สามารถปรับตัวให้เข้ากับการทำงานรูปแบบดังกล่าวได้ ไม่แน่ว่า การทำงานแบบ ‘Remote Working’ อาจเป็นทางเลือกที่ดีอีกทางหนึ่งสำหรับการทำงานในโลกดิจิทัลในทุกวันนี้ก็เป็นได้

บทความที่คุณอาจสนใจ
เมื่อ Work From Home ก่อให้เกิดอาการอยู่ไม่นิ่ง หรือเรียกว่า Attention Deficit Disorder
Work-Life Integration วิธีการใช้ชีวิตร่วมกับงานให้มีความสุข
ใครเป็นบ้าง? Work From Home แล้วเหนื่อยยาวนาน แต่งานกลับไม่มีประสิทธิภาพ


แปลและเรียบเรียงจาก:
https://cnn.it/3D8BLb3
https://cnn.it/37WCX5Y

#missiontothemoon
#missiontothemoonpodcast
#worldnews