การทำงานในรูปแบบ Hybrid Working หรือการทำงานในรูปแบบผสมผสานระหว่างการทำงานที่ออฟฟิศและการทำงานนอกสถานที่ ได้กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตการทำงานของเหล่าคนทำงานหลายรายในปัจจุบัน อย่างไรก็ตามการทำงานในรูปแบบ Hybrid Working ส่งผลทำให้ปฏิสัมพันธ์และความจำเป็นที่จะต้องสานสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงานลดลง ส่งผลให้ความสนิทชิดเชื้อและความไว้วางใจในสังคมที่ทำงานลดน้อยถอยลงได้เมื่อเวลาผ่านไป
ซึ่งผลที่ตามมาคือ พนักงานที่ลดความไว้วางใจต่อองค์กรลง ทำให้สามารถตัดสินใจลาออกได้ง่ายมากขึ้น และในอีกทางหนึ่ง การทำงานที่ไม่ได้เกิดความรู้สึกผูกพันต่อองค์กร จะยิ่งทำให้ประสิทธิภาพการทำงานลดน้อยลงไปด้วย
จากตลอดระยะเวลากว่า 2 ปี ที่ผ่านมา การแพร่ระบาดทำให้บรรดาผู้บริหารต่างเล็งเห็นถึงความจำเป็นในการกระตุ้นให้พนักงานมีความกระตือรือร้นที่จะทำงาน รวมถึงป้องกันและช่วยเหลือไม่ให้พนักงานเกิดภาวะหมดไฟ (Burnout) โดยในช่วงก่อนการแพร่ระบาดพบว่า ความมุ่งมั่นและความเชื่อมั่นต่อองค์กรของพนักงานเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ขณะที่ Alan Felstead ผู้เขียนหนังสือ “Remote Working” ให้เหตุผลว่าการทำงานในบริษัทที่มีความยืดหยุ่น และการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้บริหาร จะช่วยสร้างความเชื่อมั่นต่อองค์กรได้ เนื่องจากเหล่าบรรดาพนักงานมีความต้องการที่จะเป็นที่ชื่นชอบของผู้บริหาร ดังนั้นจึงทำให้สภาพแวดล้อมของการทำงานมีความกระตือรือร้นอยู่เสมอ
แต่จากการที่สถานการณ์การแพร่ระบาดโรคโควิด-19 ยังไม่มีทีท่าว่าจะคลี่คลายลงและยังคงมีโอกาสเกิดการแพร่ระบาดระลอกใหม่อีกครั้งได้ทุกเมื่อ ส่งผลให้การทำงานในรูปแบบ Hybrid Working กลับมามีความจำเป็นอีกครั้งในการทำงาน แต่จากการที่พนักงานจะต้องสลับลักษณะการทำงานหลายแบบภายใน 1 สัปดาห์เพื่อป้องกันการเกิดภาวะหมดไฟ (Burnout) ของพนักงาน อย่างการลดการทำงานเหลือ 4 วันต่อสัปดาห์ อาจทำให้ปฏิสัมพันธ์ระหว่างพนักงานและผู้บริหารไม่มีความจำเป็นอีกต่อไปส่งผลให้ในช่วงที่ผ่านมาบริษัทต่างๆ กลับพบว่าพนักงานเริ่มมีความใส่ใจต่องานน้อยลง ไม่เพียงเท่านั้น ยังพบว่าความใส่ใจต่อเพื่อนร่วมงานหรือองค์กรก็ลดน้อยลงด้วยเช่นกัน
แม้ว่าจะมีการเปลี่ยนรูปแบบความสัมพันธ์และลักษณะการทำงานไป ทว่าก็มีผู้บริหารบางกลุ่มที่จะยึดมั่นต่อการให้พนักงานกลับมาทำงานที่บริษัทตามเดิม แต่นั่นไม่สามารถที่จะจูงใจพนักงานได้อีกต่อไป จากการรายงานของบริษัท Microsoft พบว่าพนักงานส่วนมากเลือกที่จะลาออกหากต้องให้พนักงานกลับเข้าไปทำงานที่บริษัท โดยระบุว่า พนักงานชาวอังกฤษมากกว่าครึ่งหนึ่งเลือกที่จะลาออกแทนกลับเข้ามาทำงานในบริษัท
ขณะที่ Brian Kropp หัวหน้าและผู้เชี่ยวชาญด้านทรัพยากรบุคคล ประจำบริษัทวิจัยและให้คำปรึกษา Gartner ให้ความเห็นว่า หากพนักงานและผู้บริหารใช้เวลาร่วมกันน้อยเกินไป จะทำให้ปฏิสัมพันธ์หรือความรู้สึกร่วมกันทางการงานลดน้อยลง ขณะที่ความสัมพันธ์ระหว่างครอบครัวจะแน่นแฟ้นมากขึ้น นอกจากนี้ผู้เชี่ยวชาญหลายท่านในบริษัทวิจัยยังระบุว่า มีความเป็นไปได้อย่างมากที่ความสัมพันธ์ระหว่างพนักงาน และผู้บริหารจะเปลี่ยนไปเช่นกัน และความสัมพันธ์เหล่านั้นจะกลายเป็นเรื่องที่ไม่สำคัญอีกต่อไป
แปลและเรียบเรียงจาก:
https://on.ft.com/3KRt4Vh
#missiontothemoon
#missiontothemoonpodcast
#worldnews