Work-Life Integration วิธีการใช้ชีวิตร่วมกับงานให้มีความสุข

2246
ใครที่กำลังมีปัญหาในการแบ่งเวลาทำงานและใช้ชีวิตส่วนตัว หากเป็นเมื่อก่อนเราคงแนะนำให้ทำ Work-Life Balance (การแบ่งเวลาทำงานและใช้ชีวิต) แต่หลังจากการมาของโควิด-19 Work-Life Balance เริ่มไม่ใช่วิธีที่เหมาะกับผู้คนทุกกลุ่ม โดยเฉพาะกลุ่มที่ยังคง Work From Home ซึ่งบางคนไม่สามารถแบ่งเวลาทำงานและพักผ่อนได้ชัดเจน
 
ด้วยเหตุนี้ แนวคิด Work-Life Integration หรือการใช้ชีวิตร่วมไปกับงาน จึงกลายเป็นประเด็นที่ถูกพูดถึงมากยิ่งขึ้น โดย Work-Life Integration ไม่ใช่การตีกรอบว่าต้องทำงานและพักผ่อนในช่วงเวลาที่กำหนด แต่เป็นการใช้ชีวิตให้ยืดหยุ่นและเหมาะสมกับงานที่เราทำ ซึ่งสามารถนำไปปรับใช้ได้ทั้งตัวเราและองค์กร
 
ใช้ชีวิตให้ยืดหยุ่น
 
ในปี 2020 ‘Ioana Lupu’ รองศาสตราจารย์จาก ESSEC Business School ในประเทศฝรั่งเศส และ ‘Mayra Ruiz-Castro’ อาจารย์จาก University of Roehampton ในประเทศอังกฤษ ได้ทำงานวิจัยโดยสัมภาษณ์พนักงานบริษัท 78 คน (ผู้ชายและผู้หญิง 39 คนเท่ากัน) ในช่วงอายุระหว่าง 30 ถึง 50 ปี ทุกคนอาศัยอยู่กับเด็กอย่างน้อย 1 คน และทำงานในระดับผู้บริหาร
 
ผลวิจัยพบว่า 30% ของผู้ชาย และ 50% ของผู้หญิงที่ร่วมงานวิจัยบอกว่า พวกเขาปฏิเสธที่จะทำงานเป็นระยะเวลานานหลายชั่วโมง ส่วนคนที่เหลือนั้นมองว่า การทำงานติดต่อกันหลายชั่วโมงคือสิ่งที่คนที่ประสบความสำเร็จนั้นทำกัน
 
Lupu และ Ruiz-Castro พบว่า ในกลุ่มที่ปฏิเสธการทำงานระยะเวลานานมีพฤติกรรม ‘Reflexivity’ คือการมี Self-Awareness ตั้งคำถามกับสิ่งที่ตนเองจะทำ ซึ่งการมี Reflexivity ช่วยให้พวกเขาสามารถปรับวิธีในการทำงานและใช้ชีวิตในแต่ละวันได้เหมาะสม งานวิจัยนี้จึงสรุปผลว่า
“การเข้าใจสภาวะอารมณ์ของตนนั้น เป็นสิ่งสำคัญที่กำหนดการใช้ชีวิตและการทำงานของตัวเรา”
 
ขณะเดียวกัน ‘Anat Lechner’ รองศาสตราจารย์จาก New York University กล่าวว่า จุดสมดุลของชีวิตและการทำงานเป็นสิ่งที่ปรับเปลี่ยนได้ตลอดเวลา ต่อให้คุณแบ่งเวลาออกเป็นสัดส่วนชัดเจน แต่ภาวะความเครียดจากการทำงานนั้นไม่ได้หายไปในทันที แม้ว่าคุณจะกลับบ้านแล้วก็ตาม
“แม้ร่างกายเราจะอยู่ที่บ้าน แต่จิตใจเรายังคงกังวลกับงานที่ทำ เราจึงไม่ได้อยู่กับปัจจุบันจริงๆ” เธอกล่าว
 
องค์กรคือกุญแจสำคัญ
 
งานวิจัยของศาสตราจารย์ ‘Erin Kelly’ จาก MIT (Massachusetts Instiude of Technology) แสดงให้เห็นว่า องค์กรและผู้บริหารสามารถเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างบรรยากาศการทำงานที่ดีสำหรับพนักงานได้
 
อ้างอิงจากหนังสือ ‘Overload: How Good Jobs Went Bad and What to Do About It’ ที่เธอเขียนร่วมกับ ‘Phyllis Moen’ พนักงานมากกว่า 1,000 คน จาก 500 กว่าบริษัท ถูกแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม กลุ่มแรกทำงานกับองค์กรที่บริหารด้วยความยืดหยุ่น และกลุ่มที่สองทำงานในองค์กรที่ยึดตามกฎระเบียบเคร่งครัดเป็นหลัก
 
พบว่า กลุ่มแรกนั้นมีความเครียดน้อยกว่า โอกาสหมดไฟ (Burnout) ลดลง และจำนวนคนที่ลาออกจากองค์กรนั้นน้อยกว่ากลุ่มที่สองถึง 40%
“หลายคนเข้าใจว่าการบริหารชีวิตเป็นเรื่องส่วนบุคคล” Kelly กล่าว “ต้นตอของปัญหานี้ไม่ได้มาจากวิธีการหาจุดสมดุลของชีวิต แต่เกิดจากงานอันมหาศาลที่เราต้องทำต่างหาก”
 
เห็นได้ชัดว่า องค์กรควรจะสร้างบรรยากาศการทำงานที่ดีให้พนักงาน มิเช่นนั้นแล้ว ต่อให้พนักงานพยายามอย่างไร ก็ไม่สามารถจัดการการใช้ชีวิตได้อย่างเหมาะสมจริงๆ
 
โดยสรุป Work-Life Integration คือการเพิ่มความยืดหยุ่นในการใช้ชีวิตและการทำงาน สามารถทำได้ทั้งตัวเราและองค์กรที่เราสังกัด ซึ่งในปัจจุบันกระแสนี้เริ่มเป็นที่นิยมมากขึ้นจากการที่ผู้คนยังคง Work From Home อย่างไรก็ตาม ก็ยังคงเป็นที่ถกเถียงกันว่าระหว่าง Work-Life Balance และ Work-Life Integration วิธีใดเหมาะในการนำมาปรับใช้มากกว่ากัน
 
แล้วคุณกำลังใช้ชีวิตแบบไหนอยู่ ลองคอมเมนต์กันมาได้เลย
 
 
แปลและเรียบเรียงจาก:
อ่านเพิ่มเติม:
 
 
Advertisements