ใครกำลังมีอาการแบบนี้อยู่บ้าง?
“ไม่ชอบเล่าปัญหาให้ใครฟัง”
“ชอบเก็บทุกอย่างไว้กับตัวเอง”
บางคนชอบรับฟังปัญหาและเป็นที่พึ่งให้กับคนอื่น แต่พอถึงเวลาที่ตัวเองมีปัญหาหรือมีเรื่องไม่สบายใจเข้ามากลับไม่ชอบเล่าให้ใครฟัง รวมทั้งชอบเก็บความรู้สึกไว้คนเดียว
แต่รู้หรือไม่ว่า การไม่ระบายออกมาจะทำให้ความรู้สึกด้านลบสะสมขึ้นเรื่อยๆ นานวันเข้าอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพจิตได้ ตั้งแต่ความเครียด ความคับข้องใจ ไปจนถึงความรู้สึกโดดเดี่ยวที่ไม่มีใครคอยเคียงข้าง
ในบางครั้งเราต้องยอมรับว่าเราต้องการความช่วยเหลือจากคนอื่น เพื่อระบายอารมณ์ที่แสนเจ็บปวดเหล่านั้นออกมา อย่ารอจนถึงวันที่ร่างกายพัง จิตใจพัง และทุกๆ อย่างพังไปหมดแล้วค่อยขอความช่วยเหลือจากคนอื่น เพราะการป้องกันย่อมดีกว่าการมานั่งรักษาจิตใจในภายหลัง
แต่ทำไมบางคนถึงไม่ชอบเล่าปัญหาให้ใครฟังและรอจนทุกอย่างพังไปหมดแล้วกันล่ะ?
ว่าด้วยเรื่องความไว้ใจและการตัดสิน
สาเหตุที่หลายคนไม่ชอบเล่าปัญหาให้ใครฟัง ส่วนหนึ่งมาจากการที่เคยพยายามเปิดใจเล่าเรื่องราวอันน่าหนักใจเหล่านั้นให้พ่อแม่หรือผู้ใหญ่ในบ้านฟังแล้ว แต่เขาเหล่านั้นกลับใช้อารมณ์โต้ตอบหรือไม่เคยตั้งใจฟังในสิ่งที่เล่า สุดท้ายเลยไม่อยากเล่าอะไรให้ใครฟังอีก
อีกสาเหตุหนึ่งมาจากการที่ปัญหานั้นๆ เกิดจากคนใกล้ชิด จึงรู้สึกว่าไม่สามารถพูดคุยหรือไว้ใจคนใกล้ตัวได้ เพราะคนใกล้ตัวได้ทำลายความเชื่อใจที่มีไปหมดแล้ว
แต่เหรียญมีสองด้านเสมอ บางคนไม่เล่าเพราะครอบครัวไม่ใช่เซฟโซน แต่ก็มีบ้างที่บางคนไม่เล่า แม้จะได้รับความรักจากครอบครัวเป็นอย่างดี ในกรณีนี้สาเหตุอาจมาจากเพียงแค่ต้องการเก็บปัญหาไว้กับตัว เพราะไม่อยากทำตัวอ่อนแอ ไม่อยากถูกคนอื่นตัดสิน หรือบางคนก็อยากแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นด้วยตัวเอง
นอกจากนี้ก็อาจเป็นไปได้ว่าบางคนไม่อยากส่งต่อพลังงานลบให้กับคนรอบข้าง และไม่อยากทำให้คนอื่นเดือดร้อนเพราะปัญหาของตัวเอง จึงเลือกที่จะเก็บไว้และไม่พูดออกไปดีกว่า
เข้าใจและช่วยเหลือตัวเองผ่านการระบาย
เมื่อของเราพัง เรายังหาวิธีซ่อมหรือหาคนมาช่วยซ่อมได้ พอความรู้สึกพังเราก็ต้องหาทางแก้ไข ไม่ใช่เก็บไว้คนเดียว ถึงแม้ว่าการแก้ปัญหาเรื่องอารมณ์และความรู้สึกไม่ใช่เรื่องง่าย แต่มีวิธีหนึ่งที่สามารถช่วยได้ คือ “การพูดปัญหาและความรู้สึกออกมาให้คนอื่นฟัง”
บางคนอาจจะคิดว่าแค่พูดปัญหาออกมามันคงช่วยอะไรเรามากไม่ได้ แต่จริงๆ แล้วการพูดคุยกับคนอื่นนั้นมีประโยชน์กับเราหลายอย่าง เพราะเมื่อไหร่ก็ตามที่ความรู้สึกเรารุนแรงมากๆ เช่น กลัวหรือวิตกกังวล การตัดสินใจด้วยเหตุผลของเราจะแย่ลง แต่งานวิจัยจาก UCLA ชี้ว่า การระบายความรู้สึกออกมาเป็นคำพูดช่วยลดปัญหาตรงนี้ลงได้
อีกทั้งงานวิจัยของ Southern Methodist University ก็ชี้ให้เห็นว่า การเขียนเกี่ยวกับเหตุการณ์กระทบกระเทือนจิตใจที่เกิดขึ้นหรือการเข้ารับบำบัดด้วยการพูดคุยส่งผลดีต่อสุขภาพและระบบภูมิคุ้มกันของผู้ป่วย แล้วงานวิจัยนี้ยังบอกอีกว่า การอดกลั้นความคิดและอารมณ์เอาไว้นั้นมีราคาที่ต้องจ่าย คือมันจะทำให้เราป่วยหรือรู้สึกแย่ง่ายกว่าเดิมนั่นเอง
และนอกจากการพูดคุยกับคนอื่นจะช่วยเรื่องสุขภาพแล้ว ยังช่วยให้เราเข้าใจปัญหาได้ดีขึ้นด้วย เพราะเวลาที่เราจะเล่าอะไรให้ใครสักคนฟัง เราจะต้องจัดเรียงความคิดของตัวเอง เพื่อให้เล่าออกไปแล้วคนอื่นสามารถเข้าใจเราได้ง่าย ทำให้มีการคิดถึงปัญหาจากมุมมองภายนอกเข้ามาไปโดยปริยาย
เพราะเราไม่ได้ตัวคนเดียว
ถึงแม้ว่าการระบายออกมาจะเป็นสิ่งสำคัญ แต่เราก็ต้องเลือกให้ดีด้วย ว่าจะระบายกับใครเพราะเชื่อว่าเรื่องบางเรื่องคงเป็นเรื่องที่สำคัญและละเอียดอ่อนพอสมควร ดังนั้นจึงต้องเลือกคนที่ไว้ใจได้ มาดูกันว่า “เราควรพูดกับใคร”
1. คุยกับเพื่อนที่ไว้ใจได้
ปฏิเสธไม่ได้ว่าในบางครั้งก็ไม่มีใครเข้าใจเราได้มากไปกว่าเพื่อนสนิทที่เราไว้ใจ เพราะเพื่อนเป็นหนึ่งในคนที่ใช้ชีวิตกับเราบ่อยที่สุด บางคนก็ผ่านร้อนผ่านหนาวด้วยกันมาหลายอย่าง คนเหล่านี้จะช่วยยกระดับจิตใจและดึงเราออกมาจากความคิดลบๆ ได้อย่างแน่นอน
2. คุยกับแฟนหรือคู่ชีวิต
อีกคนหนึ่งที่สามารถไว้ใจได้มากกว่าคนอื่นๆ ในชีวิตคือ “แฟนหรือคู่ชีวิต” ของเรานี่เอง เรียกได้ว่าน่าจะเป็นคนที่เราใช้ชีวิตด้วยมากที่สุด และเป็นหนึ่งในคนที่รู้ปัญหาชีวิตเราดีที่สุดด้วย ดังนั้นหากไม่รู้จะหันไปทางไหน ก็ลองเปิดใจคุยกับแฟนดู
3. คุยกับนักบำบัด
ถ้าปัญหาในใจมันหนักจนเกินจะแก้ไขได้ด้วยตัวเองหรือคนรอบข้าง คนที่จะช่วยเราได้มากที่สุดคือ “นักบำบัด” ไม่ว่าเราจะต้องการคำปรึกษาเรื่องปัญหาสุขภาพจิต ความสัมพันธ์ หรือแค่ต้องการพัฒนาตัวเองเฉยๆ การบำบัดก็ถือเป็นทางเลือกที่ดี
เพราะข้อดีอย่างหนึ่งของนักบำบัดคือ พวกเขาจะเก็บความลับของเราไว้เป็นอย่างดี ไม่เสี่ยงความลับรั่วไหลเท่ากับการเล่าให้เพื่อนหรือแฟนฟัง อีกทั้งพวกเขายังสามารถช่วยสำรวจและแก้ไขปัญหาของเราได้อย่างตรงจุดอีกด้วย
เริ่มต้นแก้ปัญหาที่ “ตัวเอง”
แม้ว่าเราจะมีเพื่อนหรือคนรอบข้างที่สามารถพูดคุยเรื่องราวสำคัญๆ ในชีวิตได้ แต่สำหรับบางคนแล้วการจะเริ่มพูดก็ไม่ใช่เรื่องง่ายอยู่ดี เพราะไม่รู้ว่าควรเริ่มพูดอย่างไร
ทางแก้ของปัญหานี้มีอยู่เพียงแค่อย่างเดียวคือ “ต้องพูดคุยกับคนอื่นอย่างตรงไปตรงมา”
โดยอาจจะลองเริ่มพูดคุยจากเรื่องทั่วๆ ไป เช่น
[ ] อะไรคือสิ่งที่ทำให้เราหนักใจอยู่ตอนนี้ (เรื่องที่เราต้องการพูดถึงมากที่สุด)
[ ] ช่วงนี้เรามีปัญหาการนอนหลับอยู่หรือไม่
[ ] ช่วงนี้เราทานอาหารไม่เพียงพอ หรือมากไปหรือไม่
[ ] ปัญหาที่เราเจออยู่มันรบกวนการทำงานของเราหรือไม่
ถ้าใครไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไร ให้ลองเริ่มเปิดประเด็นด้วยสิ่งเหล่านี้ดู เช่น “ช่วงนี้นอนไม่ค่อยหลับเลย เพราะ…” หรือ “ช่วงนี้รู้สึกว่าโฟกัสกับการทำงานไม่ค่อยได้เลย เพราะ…”
พอเปิดประเด็นได้แล้ว ให้พูดไปตามตรงว่าตอนนี้เราเป็นอะไร รู้สึกอะไรอยู่ หรือมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นบ้าง เราจะได้ไม่ต้องแบกปัญหาไว้คนเดียวให้เหนื่อยใจ แม้ว่าในบางครั้งคนที่เราเล่าให้ฟังเขาจะไม่สามารถช่วยเหลืออะไรได้ แต่เขาสามารถรับฟังและคอยอยู่ข้างๆ เราได้ และถ้าไม่อยากให้คนอื่นรู้เรื่องส่วนตัวมากจนเกินไป ก็ค่อยๆ เล่าเท่าที่เราพอจะเล่าไหว
จำไว้ว่าเราไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว เรายังสามารถพูดคุยกับเพื่อน ครอบครัว คนใกล้ตัวคนอื่นๆ หรือแม้กระทั่งนักบำบัด อย่าแบกรับทุกอย่างไว้คนเดียวจนเคยตัว เพราะในระยะยาวแล้วปัญหาเหล่านั้นมันอาจแย่ลงกว่าเดิม
ถึงเราจะเข้มแข็งแค่ไหน แต่ถ้ามีคนคอยรับฟังอยู่ข้างๆ ก็ย่อมดีต่อจิตใจของเรามากกว่า
แปลและเรียบเรียง
– You Should Talk About Your Problems More: Myron Nelson, Psychology Today – http://bit.ly/3RcvEd1
– Why Talking About Our Problems Helps So Much (and How to Do It): Eric Ravenscraft, The New York Times – http://bit.ly/3HwM4bN
– “I Don’t Like Talking About My Problems” – What To Do If This Is You: A Conscious Rethink – http://bit.ly/3DfIVLW
– I need to talk to someone about my problems: How to start the conversation: My Online Therapy – http://bit.ly/3JipzcO
#selfdevelopment
#missiontothemoon
#missiontothemoonpodcast