รีวิวหนังสือ: พลังวิเศษของคนธรรมดา | Big Magic

5090
หนังสือ พลังวิเศษของคนธรรมดา | Big Magic
หนังสือ พลังวิเศษของคนธรรมดา | Big Magic
มีเวลาไม่เยอะอยากอ่านสั้นๆ
  • เล่มนี้สำหรับผมเป็นหนังสือปรัชญากึ่งจิตวิทยา ที่ไม่ธรรมดา ไม่ใช่หนังสือปลุกเร้า หรือสร้างแรงบันดาลใจเหมือนหนังสือทั่วไปตามร้านหนังสือ แต่เป็นหนังสือที่มีวิธีเล่าเรื่องที่สนุกมาก แถมมีจุดกระตุกต่อมให้เราได้คิดอยู่เป็นช่วงๆ

ตอนแรกที่หยิบหนังสือเล่มนี้ขึ้นมาเพราะจำได้ว่านักเขียนคนนี้ดัง และยังนึกได้อีกด้วยว่า เคยดู TED Talk ที่เธอพูดและเป็น TED ที่ผมชอบมาก ตามลิงค์นี้ ครับใครยังไม่เคยดูแนะนำให้ลองไปดูนะครับ ผมว่าได้ข้อคิดดี

เอลิซาเบธ กิลเบิร์ต (Elizabeth Gilbert) ผู้เขียนหนังสือเล่มนี้ เคยเขียนหนังสือ Eat Pray Love ชื่อหนังสือที่แปลเป็นไทย ชื่อ อิ่ม มนต์ รัก สุดขอบฟ้า ซึ่งขายดีมากๆและถูกเอามาสร้างเป็นภาพยนต์ซึ่งนำแสดงโดย จูเลีย โรเบิตส์ และกำกับโดย ไรอัน เมอร์ฟี่ เชื่อว่าหนังสือ Eat Pray Love คงเคยผ่านตานักอ่านหลายท่านมาแล้วอย่างแน่นอน

หนังสือเรื่อง Big Magic | พลังวิเศษของคนธรรมดา เล่มนี้สำหรับผมเป็นหนังสือปรัชญากึ่งจิตวิทยา ผมเริ่มเปิดหนังสือเล่มนี้เช้าวันนึงที่ผมเพิ่งกลับจากการวิ่งออกกำลังช่วงเช้าและแวะทานกาแฟที่ร้านแถวๆ ทองหล่อ

วันนั้นช่วงหยุดยาวปีใหม่คนที่ร้านเลยบางตา เป็นโอกาสที่ดีที่ได้ทำความรู้จักกับหนังสือเล่มนี้อย่างมีสมาธิมากๆ พอเริ่มอ่านไปได้ซัก 30 หน้าก็พบว่าหนังสือเล่มนี้ไม่ธรรมดา ที่ไม่ธรรมดาเพราะหนังสือเล่มนี้ไม่ใช่หนังสือปลุกเร้าแรงบันดาลใจ ไม่ใช้หนังสือกระตุ้นต่อมความสำเร็จเหมือนหนังสือที่มีอยู่ทั่วไปตามแผงหนังสือ 

แต่หนังสือเล่มนี้มีท่วงท่าและลีลาที่สุขุมนุ่มลึกกว่านั้นมาก

อันนี้ต้องขอชมทั้งคนเขียนและคนแปลด้วยนะครับ เพราะหนังสือหลายเล่มเขียนภาษาอังกฤษดีมากแต่มาตกม้าตายตอนแปลไทยก็มีเยอะ แต่เล่มนี้ไม่เลย คนแปล แปลได้เก่งมากครับ หนังสือเล่มนี้อ่านเพลินมากๆ เหมือนกับอ่านนิยายเลย สนุกมาก แต่มีจุดกระตุกต่อมให้ได้คิดอยู่เป็นช่วง

ผมขอยกเอาช่วงที่ผมชอบๆจากหนังสือมาเป็นน้ำย่อยให้ทุกท่านลองอ่านกันดูนะครับ จะได้เข้าใจอารมณ์ของหนังสือเล่มนี้


จากหน้า 65 “ความเป็นเจ้าของ”

ฉันเชื่อว่าแรงบันดาลใจจะพยายามร่วมมือกับคุณอย่างเต็มที่ แต่ถ้าคุณไม่พร้อมหรือไม่ว่าง มันก็อาจจะทิ้งคุณไปหาเพื่อนร่วมงานคนใหม่ ที่จริงเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นบ่อยมาก 

นีคือสาเหตุที่วันหนึ่งคุณอาจจะเปิดหนังสือพิมพ์ขึ้นมาและพบว่ามีคนเขียนหนังสือของคุณไปแล้ว กำกับละครเวทีของคุณไปแล้ว แต่งแพลงของคุณไปแล้ว สร้างหนังของคุณไปแล้ว ทำธุรกิจของคุณไปแล้ว เปิดร้านอาหารของคุณไปแล้ว หรือจดสิทธิบัตรสิ่งประดิษฐ์ของคุณไปแล้ว พูดง่ายๆว่ามีคนฉกฉวยไอเดียที่เคยแวบเช้ามาในหัวคุณเมื่อหลายปีก่อนแต่คุณไม่เคยลงมือทำจริง (หรือลงมือทำแต่ยังไม่สำเร็จ) ไปเป็นของตัวเองเรียบร้อยแล้ว คุณอาจจะอารมณ์เสียเพราะเรื่องแบบนี้ ทั้งที่จริงคุณไม่มีสิทธิโกรธเลย ก็คุณไม่ทำให้สำเร็จเองนิ! คุณไม่แสดงตัวว่าพร้อมพอ เร็วพอ หรือเปิดกว้างพอที่ไอเดียจะร่วมมือกับคุณและสร้างผลงานให้สำเร็จได้ ดังนั้นไอเดียเลยต้องหาเพื่อนร่วมงานคนใหม่ แล้วคนอื่นก็กลายเป็นคนทำสิ่งนั้นจนสำเร็จ

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมานับตั้งแต่ฉันตีพิมพ์หนังสือเรื่อง Eat Pray Love มีคนมากมายนับไม่ถ้วนกล่าวหาว่าหนังสือของฉันเป็นไอเดียของพวกเขา

“หนังสือเล่มนี้ควรจะเป็นของฉัน” คนพวกนั้นว่า พร้อมกับจ้องเขม็งมาที่ฉันซึ่งนั่งแจกลายเซ็นอยู่ในงานหนังสือ ไม่ว่าจะเป็นที่ ฮุสตัน โตรอนโต ดับลิน หรือเมลเบริ์น “ฉันตั้งใจไว้แล้วว่าวันหนึ่งฉันจะเขียนหนังสือเล่มนี้แน่ๆ แต่คุณกลับเอาชีวิตฉันไปเขียน”

ฉันจะตอบยังไงดีละ ฉันจะไปรู้เรื่องราวชีวิตของคนแปลกหน้าได้ยังไงกัน ฉันแค่เจอไอเดียวางอยู่เฉยๆโดยไม่มีใครสนใจ เลยหยิบมันขึ้นมาแล้วก็วิ่งจากไปก็แค่นั้น ฉันยอมรับว่าตัวเองโชคดีมากจากการเขียนหนังสือเรื่อง Eat Pray Love (โชคดีสุดๆเลยด้วย) แต่ฉันก็ทุ่มเทกับมันมากจริงๆ ฉันหมกมุ่นกับหนังสือเล่มนี้อย่างบ้าคลั่ง ตั้งแต่มันผุดขึ้นมาในความคิดฉันก็ไม่เคยปล่อยมือจากมันเลยแม้แต่ขณะเดียว จนสำเร็จเป็นหนังสือเรียบร้อย”


จากหน้าที่ 98 “ตกแต่งตัวเอง” 

เพื่อนบ้านคนหนึ่งของฉันชอบตกแต่งตัวเอง

เธอชื่อไอลีน เธอเพิ่มรอยสักใหม่ๆบนตัวตลอดเวลา เหมือนฉันซื้อต่างหูใส่เล่น เธอขอแค่ให้ได้ทำ แค่คิดว่าอยากทำก็ทำ ถ้าตื่นเช้ามาแล้วเธอรู้สึกห่อเหี่ยวไม่สดชื่น เธอก็อาจจะประกาศว่า “วันนี้ไปสักลายใหม่เพิ่มดีกว่า” ถ้าคุณถามเธอว่าจะสักลายอะไร เธอก็จะบอกว่า “ไม่รู้สิ เดี๋ยวพอไปถึงร้านก็นึกออกเอง หรือถ้านึกไม่ออกก็ตามใจช่าง”

บอกก่อนว่าผู้หญิงคนนี้ไม่ใช่เด็กวัยรุ่นที่ทำอะไรตามใจตัวเองโดยไม่คิดหน้าคิดหลัง เธอโตแล้ว มีลูกโตเป็นผู้ใหญ่และมีธุรกิจเป็นของตัวเองแล้วด้วย แต่ไอลีนเป็นคนที่เจ๋งมาก เธอสวยในแบบของตัวเอง และเป็นหนึ่งในคนที่เปิดกว้างที่สุดที่ฉันเคยพบ ครั้งหนึ่งฉันเคยถามเธอว่าทำไมถึงยอมสักลวดลายถาวรลงบนร่างกายแบบนี้ เธอตอบว่า “อุ๊ย! เข้าใจผิดแล้ว ถาวรที่ไหนกันละ นี่มันแค่เรื่องชั่วคราว”

ฉันถามอย่างงุนงงว่า “รอยสักพวกนี้ไม่ได้อยู่ถาวรเหรอคะ”

เธอยิ้มแล้วตอบว่า “ไม่ใช่ ลิซ รอยสักของฉันน่ะคงทนถาวร แต่ร่างกายของฉันนี่สิที่ไม่ถาวร ร่างกายของคุณก็เหมือนกัน เราแวะมาเยี่ยมโลกนี้แค่ชั่วคราวเท่านั้น ฉันก็เลยตัดสินใจมานานแล้วว่าจะตกแต่งตัวเองให้สนุกที่สุดระหว่างที่ยังมีชีวิตอยู่”

Advertisements

จากหน้าที่ 128

“วันก่อนมีคนมาพูดกับฉันว่า “คุณบอกว่าทุกคนเป็นนักสร้างสรรค์แต่พรสวรรค์กับความสามารถของแต่ละคนมันไม่เท่ากันนี่ ทุกคนทำงานศิลปะได้ก็จริง แต่มีไม่กี่คนหรอกที่จะทำได้ดีเยี่ยม ถูกไหม”

ฉันไม่รู้

ฉันพูดจริงๆนะว่าฉันไม่สนด้วยซ้ำ

ฉันไม่เคยแม้แต่จะเสียเวลาคิดถึงความแตกต่างระหว่างศิลปะชั้นสูงกับศิลปะชั้นต่ำ ฉันคงหลับหน้าคว่ำในจานข้าวแน่ๆถ้ามีใครมาชวนคุยเรื่องมุมมองทางวิชาการระหว่างผลงานชั้นยอดกับผลงานทั่วไป ฉันไม่เคยคิดจะตัดสินว่าใครจะกลายเป็นศิลปินชื่อดังหรือใครควรจะเลิกฝัน

ฉันจะไปรู้ได้ยังไงล่ะ แล้วมีใครที่รู้จริงบ้าง ทุกอย่างเป็นเรื่องของมุมมองส่วนบุคคลทั้งนั้น อีกอย่างฉันเองก็เคยเจอเรื่องน่าแปลกใจหลายครั้งในโลกศิลปะ ฉันเคยเจอคนที่มีพรสวรรค์มากมายแต่กลับไม่สร้างผลงานอะไรเลย

แล้วมีบางคนที่ฉันเคยมองข้ามไป แต่สุดท้ายกลับทำเอาฉันเข่าอ่อนด้วยผลงานศิลปะที่สวยงามและดึงดูดใจอย่างยิ่ง ประสบการณ์เหล่านั้นสอนให้ฉันรู้จักถ่อมตัวเกินกว่าที่จะตัดสินศักยภาพของใครอีก

เพราะฉะนั้นอย่าไปกังวลเรื่องคำจำกัดความของผลงานศิลปะที่ดีและการตัดสินของคนอื่นจะดีกว่า มันจะทำให้คุณท้อและกังวลเปล่าๆ ฉันอยากให้คุณสบายใจไร้กังวลที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพื่อให้สามารถสร้างสรรค์ผลงานไปได้เรื่อยๆ ไม่ว่าคุณจะคิดว่าตัวเองเก่งหรือห่วยแค่ไหนก็ตาม แค่ทำสิ่งที่อยากทำแล้วเผยแพร่มันออกไปเท่านั้นก็พอ ยังไงคนอื่นก็ต้องตัดสินคุณอยู่แล้ว คนอื่นจะแบ่งประเภทว่าคุณเป็นพวกนั้นพวกนี้ เพราะคนเราชอบทำอย่างนั้น บางคนถึงกับต้องแบ่งประเภททุกสิ่งทุกอย่างจึงจะสบายใจ เพราะรู้สึกว่าโลกที่ยุ่งเหยิงถูกจัดให้เป็นระบบระเบียบในตัวตัวเองเรียบร้อยแล้ว 

ดังนั้น คนรอบตัวคุณก็จะจับคุณใส่กล่องต่างๆหลากหลายแบบตามมุมมองของพวกเขา พวกเขาอาจจะเรียกคุณว่าอัจฉริยะ ตัวปลอม มือสมัครเล่น จอมอวดอ้าง พวกอยากเด่นอยากดัง ศิลปินตกกระป๋อง แค่พวกทำงานอดิเรก พวกฝีมือพอถูไถ ดาวรุ่งดวงใหม่ หรือสุดยอดนักสร้างสรรค์ก็ได้ พวกเขาอาจชื่นชมคุณหรือมองข้ามคุณ พวกเขาอาจบอกว่าคุณเป็นแค่นักเขียนนิยาย แค่นักวาดรูปประกอบหนังสือสำหรับเด็ก แค่ช่างภาพงานรับปริญญา แค่นักแสดงละครเวทีโรงเล็ก แค่แม่ครัวโรงอาหารมหาวิทยาลัย แค่นักดนตรีไก่กา แค่คนชอบงานฝีมือ แค่จิตรกรวาดภาพทิวทัศน์ หรือแค่อะไรก็ตามแต่

ไม่ว่าใครจะเรียกคุณว่าอะไรก็ไม่สำคัญ ปล่อยพวกเขาแสดงความคิดเห็นกันไปเถอะ ปล่อยให้พวกเขาลุ่มหลงมุมมองของตัวเองไปตามสบาย แต่คุณอย่ายึดติดกับมุมมอง (หรือแม้แต่ความเข้าใจ) ของพวกเขาในการสร้างสรรค์ผลงานของคุณเด็ดขาดและจำไว้เสมอว่าใครจะตัดสินคุณยังไงก็ไม่ใช่ธุระอะไรของคุณ

สุดท้าย อย่าลืมสิ่งที่ ดับเบิลยู. ซี. ฟีลด์ส เคยกล่าวเอาไว้เกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า

ใครจะเรียกคุณว่าอะไรไม่สำคัญ ที่สำคัญคือคุณขานรับเสียงไหนดับเบิลยู. ซี. ฟีลด์ส

ที่จริงคุณไม่จำเป็นต้องขานรับด้วยซ้ำ

แค่คุณทำสิ่งที่คุณรักไปเรื่อยๆก็พอแล้ว”


ผมชอบวิธีการร้อยเรื่องราวของหนังสือเล่มนี้ครับ มันบ่งบอกถึงความปราณีตของคนเขียนผ่านตัวอักษรได้เป็นอย่างดี

หนังสือเล่มนี้เป็นเหมือนอาหารใจครับ ที่ต้องการการเติมบ้าง อย่างน้อยก็ซักเดือนละครั้งสองครั้ง เพื่อจะได้มีแรงลุกขึ้นมาสู้กับปัญหาในวันพรุ่งนี้กันต่อไป 

ผมเชื่อว่าอ่านหนังสือเล่มนี้จบแล้ว คุณจะยิ้มได้กว้างขึ้นอีกนิดนึงครับ

Advertisements

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่