- ผู้บริโภคต้องการให้แก้ปัญหาด้านความงามที่รวมถึงสุขภาพที่เห็นผลอย่างรวดเร็วและต้องสามารถพิสูจน์ได้ว่าดีจริง
- ผู้บริโภคต้องการให้ตอบสนองความต้องการที่แตกต่างกันตามเพศและวัยของลูกค้า รวมถึงเจเนอเรชั่นที่แตกต่างกันด้วย
- ผู้บริโภคไม่ได้ต้องการแค่เครื่องสำอางที่ดี แต่ต้องมีแหล่งที่มาและกระบวนการผลิตที่ดีด้วย
- ในผลิตภัณฑ์กลุ่มสกินแคร์ ผู้บริโภคจะให้ความสำคัญกับเรื่องมอยซ์เจอร์ไรซิ่ง ส่วนสินค้าสำหรับเส้นผม ผู้บริโภคจะให้ความสำคัญกับสุขภาพเส้นผม และฟื้นฟูผมเสีย
การทำงานอยู่ในวงการใดก็แล้วแต่ ผมคิดว่าการดูเทรนด์บ่อยๆเป็นเรื่องที่สำคัญมาก โดยเฉพาะวงการที่มีการเคลื่อนไหวรวดเร็วอย่างแฟชั่นหรือเครื่องสำอางยิ่งต้องดูบ่อยมาก
วันก่อนเจอรายงานฉบับหนึ่งของยูโรมอนิเตอร์ (Euromonitor) เห็นว่าน่าสนใจดีเลยอยากมาแชร์ให้ทุกท่านครับ
จากการสำรวจล่าสุดในรายงานของยูโรมอนิเตอร์ว่าด้วยการใช้ชีวิตในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องวิถีการกิน ไลฟ์สไตล์ หรือแม้แต่สิ่งแวดล้อมรอบๆตัว ส่งผลโดยตรงต่อสุขภาพของผู้บริโภค รวมไปถึงยังมีผลกดดันให้คนทุกเพศ ทุกวัย ต้องดูดีตลอดเวลาด้วย
ผู้บริโภคยุคใหม่จึงตามหาทั้งสุขภาพที่ดีและความงามที่ยั่งยืน (timeless beauty) ซี่งแน่นอนมันเป็นโอกาสที่ใหญ่มากสำหรับ ธุรกิจความงามและการดูแลตัวเอง แต่ในขณะเดียวกัน แบรนด์ที่ปรับตัวไม่ได้กับความต้องการที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วก็มีสิทธิ์ที่จะตกขบวน ถูกทิ้งไว้ข้างหลังได้เช่นกัน
สิ่งที่ผู้บริโภคยุคใหม่ต้องการคืออะไร?
คำตอบโดยสรุปคือ สินค้าหรือบริการที่ช่วยแก้ปัญหาด้านความงามรวมถึงสุขภาพ ที่เห็นผลอย่างรวดเร็ว ผลนั้นต้องสามารถพิสูจน์และวัดได้ว่าดีจริง และเนื่องจากว่าปัจจุบันการเข้าถึงข้อมูลของลูกค้านั้นดีมาก แบรนด์จึงต้องทำการบ้านอย่างหนักในการพิสูจน์และวัดผลประสิทธิภาพสินค้าของตัวเอง ซึ่งตัวสินค้าที่จะมาตอบสนองความต้องการนี้ก็จะแตกต่างกันไปอีกซึ่งปัจจัยหลักคือ เพศและวัยของลูกค้า
ผู้บริโภคมีความหวังว่าสินค้าเกี่ยวกับความสวยความงามเหล่านี้เหล่านี้จะสามารถแก้ปัญหาหรือคืนสภาพผิวที่สมบูรณ์กลับมาให้พวกเขาได้ ไม่ใช่แค่ผิวแต่ยังรวมถึงเส้นผมด้วย และแนวคิดแบบ “ความงามที่มาจากภายใน” เป็นสิ่งที่ผู้คนแสวงหา
นอกจากนั้นผู้บริโภคไม่เพียงต้องการแค่เครื่องสำอางที่ทำงานได้ดี แต่ยังใส่ใจเรียนรู้แหล่งที่มาและกระบวนการผลิตด้วย เพราะต้องการสินค้าที่ทั้งดีต่อสุขภาพ ปลอดภัย และดีต่อสิ่งที่อยู่รอบๆตัวพวกเขาด้วย
โดยหากแยกดูตามกลุ่มเป็นสกินแคร์ ผู้บริโภคจะให้ความสำคัญกับเรื่องมอยซ์เจอร์ไรซิ่ง ผลิตภัณฑ์ที่ให้ความชุ่มชื่นมากที่สุด รองลงมาจะเป็นเรื่องของผิวแพ้ง่าย
สำหรับสินค้าดูแลเส้นผม สิ่งที่สำคัญคือสุขภาพเส้นผม ตามมาด้วยฟื้นฟูผมเสีย
- 35% ของผู้ที่ซื้อสินค้ากลุ่มบำรุงเส้นผมต้องการให้เส้นผมดูดีขึ้น หรือรู้สึกดีขึ้นกับเส้นผมของตัวเอง
- 28% ของผู้ที่ซื้อสินค้ากลุ่มสกินแคร์ต้องการผิวที่ใสและดูสุขภาพดี
ลูกค้าต้องการสินค้าที่รู้แหล่งที่มาที่ไป และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (และตัวเอง) มากขึ้น จึงใส่ใจกับที่มาของวัตถุดิบและวิธีการผลิตมากขึ้นอย่างมาก (เพิ่มเติม: การเข้าถึงข้อมูลยุคนี้ก็ทำได้ง่ายและลูกค้าเองก็ใช้เวลาและใส่ใจมากขึ้นด้วยในการหาข้อมูล)
การมีสินค้าที่ตรงกับกลุ่มเป้าหมาย ของลูกค้ามากขึ้นเป็นเรื่องต้องจับตามองอย่างมาก เทรนด์ของการ customisation (ให้ลูกค้าสามารถกำหนดและปรับแต่งได้ด้วยตัวเอง) จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆมาจากความที่ตลาดมีกลุ่มย่อยมากขึ้นกว่าสมัยก่อนเยอะ (highly fragmented) ซึ่งประเด็นที่สร้างกลุ่มย่อยๆเหล่านี้ส่วนใหญ่มาจากไลฟ์สไตล์และอายุ
โดยผู้ที่ตอบคำถามเกี่ยวกับการใช้สกินแคร์ว่าใช้อะไรถี่ที่สุด เรียงลำดับตามนี้เลยครับ
- ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวหน้า (Facial Cleanser)
- มอยเจอร์ไรเซอร์บำรุงผิวหน้า (Facial Moisturisers)
- ผลิตภัณฑ์ดูแลมือ (Hand Care)
- มอยเจอร์ไรเซอร์บำรุงริมฝีปาก (Lip Moisturisers)
- มาส์กหน้า (Face Masks)
- ครีมกันแดด (Sun Screen)
- โทนเนอร์สำหรับผิวหน้า (Facial toner)
- ผลิตภัณฑ์รักษาสิว (Acne Treatment)
- ผลิตภัณฑ์ต่อต้านริ้วรอย (Anti-aging)
กลุ่มคนที่ใช้สินค้า สกินแคร์ มากที่สุดได้แก่คนเจนเอ็กซ์และมิลเลียนเนียล (ยกเว้นครีมทามือ ผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับสิว และกลุ่มแอนตี้เอจจิ้ง)
ความแตกต่างระหว่างการใช้สินค้าของกลุ่มเจนเอ็กซ์และเบบี้บูมเมอร์นั้นค่อนข้างน้อยซึ่งแสดงให้เห็นว่า เมื่อมีการใช้สกินแคร์เป็นกิจวัตรแล้วจะไม่ค่อยเปลี่ยนกัน โดยการใช้กันแดดมีการลดลงอย่างเห็นได้ชัดเมื่อเข้าถึงวัยเบบี้บูมเมอร์ และมาส์กหน้าก็มีอัตราการนำมาใช้ที่ค่อนข้างต่ำเช่นกันในกลุ่มอายุช่วงนี้
สิ่งที่ ยูโรมอนิเตอร์ ทิ้งท้ายไว้ให้ซึ่งผมคิดว่าเป็นสิ่งที่เราต้องให้ความสำคัญมากขึ้นไปอีกในปีนี้และปีหน้าก็คือ การเลือกช่องทางการทำการตลาดให้ถูกต้องตามกลุ่มลูกค้าที่เป็นเป้าหมายของเรา เช่น ลูกค้าที่มีอายุหน่อยจะเลือกสินค้าโดยใช้ประสบการณ์ที่ผ่านมากเป็นหลัก และอาจจะไม่ค่อยได้สนใจช่องทางสื่อดิจิทัลมากนัก ขณะที่พลังของการลดราคาและคำแนะนำจากเพื่อนและครอบครัวยังคงทำให้ลูกค้าทุกช่วงอายุมีอาการหวั่นไหวได้เสมอ
อันนี้ผมสรุปให้คร่าวๆมากๆ นะครับ
ส่วนถ้าใครอยากได้แบบละเอียดสุดๆสามารถซื้อ Passport Beauty Survey ได้ (ไม่เคยถามราคาแต่คงแพงเอาเรื่อง) ซึ่งครอบคลุมตลาดถึง 20 ตลาด มีผู้ตอบ 20,000 คนและคำถามกว่า 500 คำถาม ซึ่งครอบคลุมตั้งแต่ ทัศนคติ พฤติกรรมการซื้อ การใช้ เส้นทางในการซื้อแบรนด์ที่ชอบ และเหตุผลที่ทำการเปลี่ยนแบรนด์ ฯลฯ
ใครสนใจอ่านต้นฉบับได้ที่ link นี้ได้เลยครับ: https://blog.euromonitor.com/new-whitepaper-reveals-megatrends-shaping-the-future-of-travel/