PSYCHOLOGYworklifeรู้อะไรไม่เท่ารู้งี้! 4 เรื่องที่เด็กจบใหม่ควรรู้ เมื่อเข้าสู่วัยทำงาน

รู้อะไรไม่เท่ารู้งี้! 4 เรื่องที่เด็กจบใหม่ควรรู้ เมื่อเข้าสู่วัยทำงาน

“เรียนจบแล้วรู้สึกเคว้งเพราะไม่รู้จะไปทางไหนต่อ”
“กลัวการสัมภาษณ์งาน เพราะไม่เคยมีประสบการณ์มาก่อน”

เชื่อว่าเด็กจบใหม่หลายคนเมื่อเข้าสู่โลกการทำงานอาจเคยประสบปัญหาเหล่านี้มาก่อน เพราะก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเมื่ออยู่ในรั้วมหาวิทยาลัยเราต่างก็ไม่เคยเจอในสิ่งที่ต้องเจอในโลกการทำงาน ไม่ว่าจะเป็นการหางาน การสมัครงาน การสัมภาษณ์งาน ไปจนถึงการลงมือทำงานจริงๆ

บางคนเมื่อถึงเวลาต้องหางานจึงไม่รู้ว่าจะเดินต่อไปทางไหน เพราะไม่รู้ว่าตัวเองชอบหรือถนัดอะไรกันแน่ บางคนเมื่อถึงเวลาสัมภาษณ์งานก็รู้สึกหวั่นกลัวขึ้นมาในจิตใจ เพราะไม่เคยทำอะไรแบบนี้มาก่อน เช่น กลัวว่าจะทำได้ไม่ดี กลัวว่าจะไม่มีงานทำ หรือกลัวจะตามเพื่อนไม่ทัน เพราะเมื่อเห็นเพื่อนเริ่มมีงานทำไปทีละคนๆ บางคนก็อาจเริ่มรู้สึกกดดันที่ตัวเองยังไม่มีงานทำสักที

ใครที่กำลังติดกับดักช่วงเข้าสู่วัยทำงานใหม่ๆ ในบทความนี้เราจะพาไปทำความรู้จัก 5 เรื่องที่เด็กจบใหม่ควรรู้ เมื่อเข้าสู่วัยทำงาน เพื่อเตรียมพร้อมรับมือและก้าวเข้าสู่โลกนี้อย่างมั่นใจไปพร้อมๆ กัน

1. ค้นหาอาชีพที่ใช่ด้วย “การลองทำ”

เราต่างก็ผ่านโลกการศึกษามานาน ตั้งแต่อนุบาล ประถม มัธยม จนกระทั่งมหาวิทยาลัย ซึ่งก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเราได้เรียนรู้อะไรหลายๆ อย่างจากรั้วโรงเรียน แต่ทว่าก็ปฏิเสธไม่ได้อีกเช่นกันว่าการศึกษาจากรั้วโรงเรียนในหลายๆ ครั้งก็ไม่สามารถทำให้เรารู้ได้ว่า “ตัวเรานั้นชอบอะไรกันแน่”

เมื่อถึงเวลาเรียนจบและต้องก้าวออกจากคอมฟอร์ตโซนที่ทั้งอยู่มานานและมีคนคอยชี้แนะทุกอย่างมาตลอด แต่พอเข้าสู่โลกการทำงานแล้วเราต้องทำอะไรหลายอย่างด้วยตัวเอง จึงไม่แปลกที่จะรู้สึกเคว้งคว้างและไม่รู้จะก้าวเดินต่อไปทางไหนดี

แต่จริงๆ แล้วก็ยังมีอีกหลายหนทางที่เราจะสามารถค้นหาเส้นทางอาชีพที่เหมาะกับตัวเอง เพียงแค่อาจจะยังไม่เคยมีใครสอนเราเท่านั้นเอง

ทำไมเราถึงต้องหาอาชีพที่เหมาะกับตัวเอง? นั่นเป็นเพราะอาชีพที่เรารักจะช่วยให้เราเริ่มใช้ชีวิตการทำงานได้อย่างสนุกและมีความสุขมากขึ้น

แต่ก่อนที่เราจะรู้ได้ว่าอาชีพไหนเหมาะกับเรา เราก็ต้องตั้งเป้าหมายและค่านิยมในการทำงานก่อน เพื่อที่จะได้นำสิ่งเหล่านี้มาช่วยในการตัดสินใจ เช่น ถ้าเราเป็นคนชอบช่วยเหลือสังคม ก็ให้จดจำคุณค่านั้นไว้ในใจและนำมาใช้ขณะค้นคว้าข้อมูลเส้นทางอาชีพต่างๆ

หลังจากที่รู้เป้าหมายและค่านิยมในการทำงานของตัวเองแล้ว ให้ลองนำเป้าหมายและค่านิยมเหล่านั้นมาค้นหาดูว่ามีอาชีพอะไรบ้างที่สามารถเติมเต็มทั้ง “เป้าหมาย” และ “ค่านิยม” ในการทำงานของเราได้บ้าง และก็อย่าลืมค้นหาด้วยใจที่เปิดกว้าง และใช้เครื่องมือที่หลากหลาย เช่น การทำแบบทดสอบความถนัดทางอาชีพ หรือการเปิดประกาศรับสมัครงานดูว่ามีงานไหนที่ตรงกับความต้องการบ้าง การทำเช่นนี้จะช่วยให้เราได้รู้จักการงานใหม่ๆ ที่ไม่เคยรู้จักมาก่อน

หรืออีกวิธีหนึ่งที่จะช่วยให้เรารู้ได้อย่างแน่ชัดมากขึ้นว่าอาชีพนั้นๆ เหมาะกับเราหรือไม่ก็คือ “การลองทำ” ไม่ว่าจะเป็นการฝึกงาน หรือการทำงานพาร์ตไทม์ในตำแหน่งที่สนใจก็ได้เช่นกัน

เพราะการเข้าไปลองทำจะช่วยให้เราเข้าใจถึงหน้าที่ของอาชีพนั้นๆ ได้โดยไม่ต้องมีข้อผูกมัดในระยะยาว รวมถึงหากลองแล้วสนใจเราก็จะมีประสบการณ์ในการทำงานเพิ่มขึ้น ถือว่าเป็นแต้มต่อในการเริ่มเส้นทางอาชีพนั้นๆ ได้เป็นอย่างดีอีกด้วย

2. เตรียมตัวสัมภาษณ์งานดี มีชัยไปกว่าครึ่ง

สำหรับเด็กจบใหม่แล้ว เมื่อถึงเวลาใกล้สัมภาษณ์งาน แค่ยืนอยู่หน้าห้องก็อาจจะใจเต้นตุ๊มๆ ต่อมๆ ไปหมดแล้ว เพราะรู้สึกไม่มั่นใจในตัวเองและกลัวว่าจะตอบคำถามได้ไม่ค่อยดี ซึ่งเรื่องนี้ก็ถือว่าเกิดขึ้นได้เป็นปกติโดยเฉพาะกับคนที่ขี้อายหรือพูดไม่เก่ง

การที่เราจะก้าวข้ามปัญหานี้ไปได้ เราต้องสังเกตดูก่อนว่า “อะไรเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เรากลัว?”

ถ้าสาเหตุเกิดจาก “กลัวตอบคำถามได้ไม่ดี” เราก็ควรแก้ด้วยการฝึกตอบคำถามบ่อยๆ ก่อนไปสัมภาษณ์งาน ซึ่งส่วนนี้ก็ไม่ใช่เรื่องยากแต่อย่างใด เพราะเราสามารถค้นหาคำถามที่พบได้บ่อยผ่านอินเทอร์เน็ตได้ เราก็เพียงแค่นำคำถามเหล่านั้นมาแล้วลองคิดคำตอบดูว่าตอบแบบไหนถึงจะสมเหตุสมผลที่สุด หลังจากนั้นก็ให้ลองฝึกตอบคำถามสัมภาษณ์กับเพื่อนหรือคนรอบข้าง และอย่าลืมศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับองค์กรให้เยอะๆ เพื่อแสดงให้เห็นว่าเราทำการบ้านมาดีและสนใจในองค์กรนั้นจริงๆ

ถ้าสาเหตุเกิดจาก “ไม่รู้จะวางตัวอย่างไร” ต้องบอกอย่างนี้ว่าสิ่งสำคัญในการสัมภาษณ์งานที่จะส่งผลให้ผู้สัมภาษณ์ชอบหรือไม่ชอบเรา ส่วนหนึ่งก็ขึ้นอยู่กับ “ภาษากาย” เพราะฉะนั้นสิ่งที่เราควรทำขณะสัมภาษณ์งานคือ “การสบตา” และ “การยิ้ม” แต่การสบตาในที่นี้ไม่ได้หมายความว่าให้ไปนั่งจ้องผู้สัมภาษณ์ตลอดเวลา แต่เป็นแค่การแสดงให้เห็นว่าเรากำลังให้ความสนใจในสิ่งที่เขาพูด ถ้าเรานั่งกระสับกระส่ายหรือทำตัวว่อกแว่กไปก็อาจส่งผลเสียต่อภาพลักษณ์ที่แสดงให้ผู้สัมภาษณ์เห็นได้

นอกจากนี้แล้วอย่าลืมว่า “ความประทับใจแรกพบ หรือ First Impression” เป็นสิ่งสำคัญมากในการสัมภาษณ์งาน ถ้าเราสร้างความประทับใจแรกดีก็มีโอกาสที่เราจะดึงดูดความสนใจของผู้สัมภาษณ์ได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งสุดท้ายแล้วมันจะเป็นการเพิ่มโอกาสให้เขารู้สึกสบายใจและชอบเราได้มากขึ้นนั่นเอง แต่ถ้าเราติดกระดุมผิดตั้งแต่เม็ดแรก เม็ดต่อๆ ไปก็จะผิดหมดได้นั่นเอง

จงจำไว้ว่าเมื่อมีโอกาสได้สัมภาษณ์งาน ต้องแต่งตัวให้ถูกกาลเทศะและวางตัวให้ดีเพื่อสร้างความประทับใจแรก และเตรียมตอบคำถามสัมภาษณ์และทำการบ้านเกี่ยวกับองค์กรให้ดีเพื่อแสดงให้เห็นถึงความเป็นมืออาชีพ

Advertisements
Advertisements

3. กล้าต่อรองเงินเดือนให้เหมาะสมกับคุณค่าของตัวเอง

“เด็กจบใหม่ควรขอเงินเดือนเท่าไรดี?” คำถามที่หลายคนสงสัยเมื่อต้องเข้าสู่โลกการทำงานในช่วงแรกๆ บางคนกลัวว่าถ้าขอมากไปแล้วจะโดนปัดตก บางคนกลัวว่าถ้าขอน้อยไปก็จะไม่พอต่อค่าครองชีพของตัวเอง ส่วนบางคนก็ไม่กล้าต่อรองเพราะไม่รู้ว่าควรขอเท่าไหร่ แล้วแบบนี้เด็กจบใหม่ควรขออย่างไรให้เหมาะสม?

สิ่งสำคัญในการต่อรองเงินเดือนคือ “การรู้คุณค่าของตัวเอง”

แล้วคุณค่าของเราคืออะไรล่ะ? คุณค่าในที่นี้หมายถึงทักษะและความสามารถที่เรามี เพราะการต่อรองเงินเดือนไม่ใช่แค่เราพูดว่า “ผมต้องการเงินเดือนมากกว่านี้ เนื่องจากตอนนี้มีภาระเรื่องค่าเช่าและค่ารถครับ” หากเราพูดเช่นนี้ แน่นอนว่าคงไม่มีใครสนใจในสิ่งที่เราพูด

หนทางที่ดีที่สุดก็คือ “การวิจัยตลาด” ว่าตำแหน่งที่เราสนใจส่วนใหญ่แล้วมีฐานเงินเดือนเริ่มต้นอยู่ที่เท่าไร ซึ่งก็ถือว่าเป็นเรื่องโชคดีที่โลกยุคปัจจุบันเราสามารถเข้าถึงข้อมูลเงินเดือนและข้อมูลนายจ้างได้มากกว่ารุ่นก่อนๆ แล้ว

หลังจากนั้นให้นำข้อมูลมาพิจารณารวมกับทักษะความสามารถที่เรามี เช่น หากได้ทักษะภาษาอังกฤษก็สามารถขอเงินเดือนเพิ่มขึ้นอีกได้ เป็นต้น

อย่างที่บอกว่าเด็กจบใหม่หลายคนอาจจะรู้สึกว่าถ้ากดดันบริษัทมากไปจะทำให้โดนมองข้าม แต่ไม่อยากให้ทุกคนคิดแบบนั้น เพราะหากเราเจอบริษัทที่ไม่สามารถรับข้อเสนอของเราได้ และเราไม่สามารถรับข้อเสนอของเขาก็ได้ ก็ถือว่าทั้งคู่ไม่ตอบโจทย์กันและกันแค่นั้นเอง หลังจากนี้เราก็แค่ต้องมองหางานในบริษัทอื่นๆ ที่ตอบโจทย์ความต้องการของเราได้

เข้าใจว่าหลังเรียนจบแล้วหลายคนรู้สึกกดดันและอยากมีงานทำเร็วๆ แต่อยากแนะนำว่าอย่าเพิ่งรีบตอบรับงานที่ให้เงินเดือนไม่สมเหตุสมผล เพราะในอนาคตอาจมีงานที่ดีกว่านี้เข้ามาหาเราก็ได้

4. “อย่ากลัวที่จะถาม” เมื่อเป็นเด็กจบใหม่แต่ไม่มีใครสอนงาน

เมื่อได้งานแรกทำหลังจากเรียนจบมา เราต่างก็คาดหวังว่าจะได้เรียนรู้เรื่องการทำงานจากพี่ๆ ในที่ทำงาน แต่แล้วบางคนกลับเจอสิ่งที่ไม่คาดฝัน นั่นก็คือ “ไม่มีคนสอนงาน!” แน่นอนว่าไม่ว่าใครหากเจอกับปัญหานี้ก็จะต้องเครียดกันมาก เพราะด้วยความที่เป็นเด็กจบใหม่ จึงไม่รู้ว่าควรเริ่มตรงไหน หรือควรทำอะไรดี

ซ้ำร้ายนอกจากจะไม่มีคนสอนงานแล้ว บางคนอาจจะโดนต่อว่ากลับมาเพราะทำงานผิดพลาดหรือทำงานไม่ถูกใจไปอีก เมื่อเจอแบบนี้แล้วบางคนก็อาจเกิดความสงสัยปนเศร้าในใจว่า “ใจหนึ่งก็อยากสู้ แต่อีกใจหนึ่งก็อยากถอย เราควรทำอย่างไรดี?”

หากบริษัทไหนไม่มีการฝึกพนักงานอย่างเป็นระบบ ก็ถือว่าเป็นปัญหาใหญ่สำหรับเด็กจบใหม่พอสมควร เพราะการไม่สอนงานก็เหมือนกับการถูกฝึกด้วยการโยนลงน้ำแล้วต้องตะเกียกตะกายเอาตัวรอดด้วยตัวเอง แน่นอนว่าการฝึกแบบนี้อาจสร้างความเจ็บปวดให้กับใครหลายคน แต่หากใครที่ยังรู้สึกว่ายังอยากไปต่ออยู่ เราก็ควรหาวิธีเอาตัวรอดจากสถานการณ์นี้ให้ได้

แล้วจะทำอย่างไรให้ผ่านพ้นช่วงตะเกียกตะกายจนจะจมแหล่มิจมแหล่แบบนี้ดีล่ะ?

ทางที่ดูเป็นไปได้และจะทำให้ชีวิตเราง่ายขึ้นเร็วที่สุดก็คือ “การหาเพื่อนในที่ทำงาน” เพราะคนที่ทำงานมาก่อนย่อมมีประสบการณ์ในการทำงานมากกว่า หากเราผูกมิตรกับเพื่อนร่วมงานหลายๆ คนไว้ เราก็จะสามารถพึ่งพากันและกันได้ เพราะมนุษย์เป็นสัตว์สังคมและมีความเชื่อว่าสองหัวย่อมดีกว่าหัวเดียว

และนอกจากจะพึ่งพาคนอื่นแล้ว เราก็ควรพึ่งพาความพยายามของตัวเองด้วย เชื่อว่าถ้าทำสองอย่างนี้ไปด้วยกันจะช่วยให้เราเรียนรู้งานได้ดียิ่งขึ้นอย่างแน่นอน

นอกจากนี้แล้วอีกสิ่งหนึ่งที่ควรจำให้ขึ้นใจคือ “อย่ากลัวที่จะถาม” ถ้าเราไม่รู้อะไร เราก็แค่ถาม เมื่อถามและได้คำตอบแล้วให้จดไว้ เพื่อที่จะได้เก็บไว้ทบทวนในภายหลังและไม่ต้องถามคนอื่นๆ ด้วยคำถามเดิมๆ อีก

แต่ถ้าลองทำทุกอย่างแล้วยังรู้สึกว่าที่นี่ไม่ใช่และไม่อยากไปต่อแล้ว การเซฟจิตใจตัวเองก็เป็นสิ่งสำคัญเช่นกัน ฉะนั้นถ้าไม่ไหวเราก็แค่ต้องก้าวออกมา

ไม่ใช่เรื่องแปลกที่เด็กจบใหม่จะมีสารพัดความกลัวเกิดขึ้นในใจ เพราะต้องเผชิญกับช่วงเปลี่ยนผ่านครั้งใหญ่จาก “รั้วมหาวิทยาลัย” สู่ “โลกการทำงาน” แต่ก็อย่าลืมว่าถ้าเรามีการเตรียมตัวให้พร้อมตั้งแต่เนิ่นๆ เราจะผ่านประสบการณ์ “ครั้งแรก” เหล่านี้ไปได้ด้วยดียิ่งขึ้นอย่างแน่นอน

แปลและเรียบเรียง
– How to Find the Right Career for Me in 5 Steps (With Tips) : Indeed – https://bit.ly/3GDRSAY
– How To Make A Great First Impression In An Interview : Forbes – https://bit.ly/3Gdmbgb
– Just graduated? Here are 5 things you must know about salary negotiation : Jared Lindzon, Fast Company – https://bit.ly/3vyjIbs
– 4 Ways to Survive Sink-or-Swim Training : Harvard Resource Solutions – https://bit.ly/3Z7U4b1

#worklife
#missiontothemoon
#missiontothemoonpodcast

Advertisements

LASTEST ARTICLES

LASTEST PODCAST

Mission To The Moon
Mission To The Moon
พื้นที่ที่สร้างขึ้นเพื่อแบ่งบันเรื่องราวเกี่ยวกับการทำธุรกิจ การตลาด แรงบันดาลใจ และข้อคิดในการใช้ชีวิต

POPULAR ARTICLES

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายคุกกี้ และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่มีความจำเป็น (Strictly Necessary Cookies)
    เปิดใช้งานตลอด

    คุกกี้ที่มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้งานและเข้าชมเว็บไซต์ได้อย่างเป็นปกติ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้ อย่างไรก็ตาม คุณสามารถบล็อคการใช้งานคุกกี้ได้จากเบราว์เซอร์ที่ใช้งาน ซึ่งอาจจะส่งผลกระทบกับการใช้งานเว็บไซต์ได้

  • คุกกี้สำหรับการวิเคราะห์และวัดผลการทำงาน (Performance Cookies)

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากคุณไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้

บันทึกการตั้งค่า