จะเกิดอะไรขึ้น?
หากความปรารถนาของคุณสามารถเป็นจริงได้เพียงแค่คุณ ‘คิด’ ถึงมัน
Manifestation หรือ ‘จิตดลบันดาล’ เป็นศาสตร์ของการพัฒนาตัวเองแขนงหนึ่งที่กำลังได้รับความสนใจอย่างมากเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา ส่วนมากมักจะถูกพูดถึงในแง่ของความรัก การขอพรให้สมหวังกับคนที่เราหมายปอง หรือขอให้เรากับคนที่ชอบได้มีโมเมนต์เล็กๆ ด้วยกัน
แต่ในอีกด้านหนึ่ง Manifestation ถูกมองว่าเป็นเรื่องของเด็กๆ เหมือนเป็นการเล่นสะกดจิต หรือเรื่องเล่าในหนังสือเกี่ยวกับเวทมนตร์ที่ไม่ได้มีผลอะไรกับชีวิต เพราะเพียงแค่คิดขึ้นมา หรือเขียนลงไปในกระดาษจะทำให้สิ่งนั้นเกิดขึ้นได้จริงหรือ? ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงคงมีคนประสบความสำเร็จเต็มไปหมดแล้ว
จริงๆ แล้ว Manifestation เป็นมากกว่าการขอพรและยังใช้ได้กับเป้าหมายทุกๆ เรื่อง ไม่เฉพาะแค่กับความรักหรือความสัมพันธ์เพียงเท่านั้น เราสามารถตั้งเป้าหมายในเรื่องงาน เงิน หรือเรื่องที่เกี่ยวกับตัวเองก็ได้ ยิ่งไปกว่านั้น Manifestation ไม่ได้ทำเพียงแค่คิดอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังอาศัยองค์ประกอบอื่นๆ มาเสริมพลังของความคิด
แล้วมันก็ยังเป็นเวทมนตร์แห่งจิตที่สามารถอธิบายด้วยวิทยาศาสตร์ได้อีกต่างหาก
‘ขุมพลังแห่งจักรวาล’ จากทฤษฎีควอนตัม
ว่ากันว่าจักรวาลของเราล้วนเต็มไปด้วยพลังงานที่เชื่อมโยงกัน ถ้าให้อธิบายอย่างเข้าใจง่ายๆ ก็คือทุกสิ่งทุกอย่างในจักรวาลแห่งนี้เกี่ยวข้อง เชื่อมโยง และติดต่อกันได้ด้วยพลังงานนั่นเอง อย่างเช่น การที่โลกของเราเป็นหนึ่งในระบบสุริยจักรวาล การที่เราสามารถยืนอยู่บนโลกได้โดยไม่ลอยเคว้งออกไปสู่อวกาศเสียก่อน นั่นก็เพราะมีพลังงานคอยดึงทุกอย่างเข้าไว้ด้วยกัน และเรารู้จักกันในชื่อ “แรงโน้มถ่วง”
จากทฤษฎีของฟิสิกส์ควอนตัม ทุกสรรพสิ่งในจักรวาลนี้ล้วนมีสนามพลังงานเป็นของตัวเอง แม้กระทั่งตัวเราเองก็สะท้อนพลังงานออกไปแล้วก็รับพลังงานจากสิ่งอื่นเข้ามาอยู่ตลอดเวลา โดยที่เราไม่รู้ตัว
ปกติแล้วสรรพสิ่งสามารถสะท้อนพลังงานออกไปได้ในรูปของการสั่นสะเทือนด้วยความถี่ที่แตกต่างกัน ซึ่งเรามองไม่เห็น แต่อาจรับรู้ได้ในรูปแบบอื่น เช่น เสียงรอบตัว แรงสั่น หรือการเคลื่อนที่ในรูปแบบต่างๆ โดยที่หากสิ่งใดมีความถี่ตรงกับสิ่งอื่น สองสิ่งนั้นก็จะถูกดึงดูดเข้าหากัน และนี่จึงกลายเป็นที่มาของ ‘กฎแห่งการดึงดูด’ (Law of Attraction)
ในกระบวนการ Manifestation การสร้างแรงดึงดูดเป็นเรื่องที่สำคัญมาก เพราะแรงดึงดูดจะนำพาเรื่องราวต่างๆ และคนต่างๆ เข้ามาในชีวิตเรา ซึ่งถ้าเราสร้างแรงดึงดูดที่นำพาเรื่องราวดีๆ เข้ามาในชีวิตเราได้ เราก็จะสมปรารถนาได้อย่างรวดเร็ว ในทางกลับกัน ถ้าเราสร้างแรงดึงดูดที่นำพามาซึ่งเรื่องราวร้ายๆ ชีวิตของเราก็จะยุ่งยากและเผชิญกับปัญหาไม่จบสิ้น ยิ่งถ้าเกิดว่าเราคิดหรือเขียนคำปรารถนาไปโดยไม่สร้างแรงดึงดูด Manifestation ก็จะไม่สัมฤทธิผล
ถ้าอย่างนั้นเราจะสร้างแรงดึงดูดที่ดีได้อย่างไร?
ทำให้ความคิดและอารมณ์เป็นแม่พิมพ์ของความสำเร็จ
สิ่งสำคัญของ Manifestation คือการเริ่มต้นที่กำหนดความคิดและจัดการอารมณ์ของตัวเราเอง เพราะความคิด ความเชื่อ รวมถึงอารมณ์ถือเป็นระบบนำทางภายในตัวเรา และนอกจากจะเป็นตัวกำหนดพฤติกรรมของเราแล้ว ยังเป็นสนามพลังงานชั้นเยี่ยมของเราอีกด้วย
หากความคิดหรืออารมณ์ของเราเป็นเชิงบวก เช่น มีความสุข สงบ หรือความมุ่งมั่นพร้อมลุยทุกอุปสรรค เราก็จะสะท้อนพลังงานความถี่ที่ตรงกับสถานการณ์เชิงบวก ทำให้เราสามารถดึงดูดเรื่องราวดีๆ โอกาสดีๆ และความสัมพันธ์ดีๆ เข้ามาในชีวิตของเราได้
ในทางกลับกัน ถ้าเรามีความคิดหรืออารมณ์เชิงลบ เช่น รู้สึกไม่มั่นคง เศร้า หดหู่ โกรธ หรืออิจฉา พลังงานที่ส่งออกไปก็จะดึงดูดเรื่องราวหรือสถานการณ์เชิงลบ นำมาซึ่งความผิดหวัง ความเสียใจ และความอึดอัดคับข้องใจไม่รู้จบ
ดังนั้นถ้าคุณปรารถนาจะให้เกิดสิ่งดีๆ ขึ้นกับชีวิตคุณ ก็ต้องทำให้ความคิดและอารมณ์ของเราเป็นภาชนะที่พร้อมใส่ความสุขลงไปเสียก่อน ถ้าคุณอยากมีความรักดีๆ ก็ต้องเริ่มต้นด้วยการส่งพลังงานของความรักออกไปก่อน รักตัวเอง รักคนรอบข้าง แล้วจักรวาลจะดึงดูดความรักเข้ามาหาคุณเอง
ยิ่งจดจ่อกับคำปรารถนา ก็ยิ่งสมหวังมากขึ้น
ที่จริงแล้วการฝึกจิตดลบันดาลความคิดให้เป็นจริงนั้นมีหลายวิธี แต่สิ่งที่เหมือนกันก็คือกลไกของการฝึก โดยกลไกที่สำคัญของ Manifestation คือการทำซ้ำๆ ทำทุกวันติดต่อกันเป็นระยะเวลาหนึ่ง การคิดหรือเขียนคำปรารถนาลงไปซ้ำๆ จะทำให้เราสามารถจดจ่ออยู่กับเป้าหมายของเราได้มากขึ้น
ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเราเขียนคำปรารถนา (อย่าลืมแทนตัวเองด้วยชื่อหรือสรรพนามบุรุษที่ 3 จะช่วยให้สมหวังได้ง่ายยิ่งขึ้น) ว่า “กอไก่เก็บเงินได้ 25,000 บาทในเวลา 3 เดือน” เพียงแค่ครั้งเดียว ในแต่ละวันเราอาจจะพบเจอกับสถานการณ์และเรื่องราวต่างๆ จนลืมเป้าหมายที่เราเคยเขียนเอาไว้ก็ได้
แต่ถ้าเราเขียนคำปรารถนา “กอไก่เก็บเงินได้ 25,000 บาทในเวลา 3 เดือน” ทุกวันติดต่อกันเป็นระยะเวลา 1 เดือน 2 เดือน หรือเขียนจนครบ 3 เดือน เราก็จะไม่ลืมว่าในวันนี้จนถึง 3 เดือนข้างหน้าเรามีเป้าหมายอะไรที่อยากทำให้สำเร็จบ้าง
อย่าลืมปิดท้าย Manifestation ที่สมบูรณ์แบบของคุณด้วยคำขอบคุณ
การขอบคุณเป็นการฝึกจิตที่ดีอีกวิธีหนึ่ง เพราะจะทำให้เราเห็นถึงแง่มุมดีๆ ในชีวิตที่ผ่านมาของเรา และเรียนรู้ที่จะส่งต่อความรู้สึกดีๆ ให้กับคนอื่นรอบตัวเรา ซึ่งจะช่วยให้เราส่งออกพลังงานที่ดีออกไปและพร้อมรับพลังงานดีๆ กลับมาด้วย
โดยคำขอบคุณควรเขียนหลังจากเราเขียนถ้อยคำปรารถนาลงไปแล้ว ตอนที่เราเขียนคำขอบคุณลงไป ให้นึกถึงเรื่องราวดีๆ ที่เข้ามาในชีวิตของเรา นึกถึงคนที่หยิบยื่นโอกาสดีๆ ให้เรา ตามปกติแล้วคนที่ทำ Manifestation จะเขียนคำขอบคุณสั้นๆ 3 ครั้งปิดท้ายการเขียนคำปรารถนา และการเขียนมันซ้ำๆ ทุกวันจะทำให้เรารู้สึกขอบคุณสิ่งดีๆ ในชีวิตได้จากใจจริงด้วย
ในศาสตร์ของ Manifestation มีวิธีการฝึกจิตหลากหลายวิธีมาก บางวิธีก็เหมาะกับการกำหนดเป้าหมายเล็กๆ ในระยะสั้นๆ บางวิธีก็เหมาะกับการตั้งเป้าหมายใหญ่ แต่ทุกวิธีล้วนสร้างระบบนำทางทางอารมณ์และความคิดของเราเป็นหลัก
แม้ว่าหนังสือหลายๆ เล่มจะเรียก Manifestation ว่า ‘เวทมนตร์’ แต่สุดท้ายแล้วมันก็คือการฝึกจิตที่ทำให้เราโฟกัสกับเป้าหมายได้ตลอดระยะเวลาที่เราตั้งเอาไว้ ปรับอารมณ์และความคิดของเราให้ผ่อนคลาย
ต่อให้ความปรารถนาของเราจะดูเป็นเรื่องยาก แต่สุดท้ายแล้วถ้าเรายังคงใช้ชีวิตจดจ่ออยู่กับมัน มองโลกในแง่ดีและมองหาโอกาสดีๆ ที่พุ่งเข้ามา เราก็จะสัมผัสได้ถึงความหวัง และมีกำลังใจมุ่งหน้าไปสู่ความปรารถนาจนอาจกลายเป็นจริงขึ้นมาได้
อ้างอิง
– The Power of Manifestation: Unleashing the Phenomenon That’s Captivating Everyone : Doctor’s Desk, Clinikally – https://bit.ly/46e9ygv
– What is the law of attraction and how do you use it? : Erin Eatough, BetterUp – https://bit.ly/4505lfq
#inspiration
#selfdevelopment
#missiontothemoon
#missiontothemoonpodcast