Lying Flat Movement เมื่อคนรุ่นใหม่หันมานอนประท้วงต่อต้านการทำงาน

1806
Lying Flat Movement

‘อยากนอนเฉยๆ ไม่ได้อยากทำงาน’ เราอาจคุ้นเคยกับคำบ่นนี้ดีเพราะมักจะเห็นกันทั่วไปบนโลกออนไลน์ โดยเฉพาะเว็บไซต์อย่างทวิตเตอร์ สำหรับหลายคน นี่เป็นเพียงวลีติดตลกที่พูดเพื่อระบายความรู้สึกเท่านั้น

แต่ไม่ใช่สำหรับคนรุ่นใหม่ในประเทศจีน เพราะหลายคนลาออกมานอนเฉยๆ จริงๆ!

Advertisements

เพราะขี้เกียจ? เพราะสิ้นหวัง? หรือเพราะสังคมรังแกฉัน? เหตุใดคนรุ่นใหม่ในจีนจึงปฏิเสธแนวคิดการ ‘ทำงานหนัก’ แบบคนรุ่นพ่อรุ่นแม่ และหันมาใช้วิถีชีวิตที่หลายคนมองว่า ‘สุดโต่ง’

เรามาทำความเข้าใจและหาคำตอบของเหตุการณ์นี้กันดีกว่า

รู้จักกับ Lying Flat Movement เมื่อชายคนหนึ่งจุดกระแสการนอนเฉยๆ ให้ดังไปทั่วอินเทอร์เน็ต

นอนราบหรือถ่างผิง (​​躺平) เป็นเทรนด์ที่เริ่มต้นโดย ลั่วหัวจง (Luo Huazhong) โพสต์ภาพตัวเขาเองนอนอยู่บนเตียงในห้อง พร้อมกับเขียนคำบรรยายภาพนั้นว่า “การนอนราบคือความยุติธรรม” (Lying flat is justice) เขากล่าวว่าเขามีสิทธิ์ที่จะเลือกชีวิตที่ไม่เร่งรีบ ชีวิตที่ได้อ่านหนังสือ ออกกำลังกาย และทำงานอะไรก็ได้เพื่อให้มีกินมีใช้ไปวันๆ

เมื่อ 5 ปีก่อนนายลั่วพบว่าเขามีความสุขกับการ ‘ไม่ทำอะไรเลย’ เขาเลยลาออกจากงานโรงงานที่ทำอยู่ และปั่นจักรยานจากเสฉวนไปทิเบต หากเขาต้องการรายได้ เขามักจะหาจากการรับจ้างทำโน่นนี่บ้าง ไม่ก็ใช้เงินเก็บที่แบ่งไว้ใช้ ซึ่งมีอยู่เพียงเดือนละ 60 เหรียญ (หรือประมาณ 1,900 บาท)

ลั่วหัวจงเรียกไลฟ์สไตล์เช่นนี้ว่า ‘ชีวิตแบบนอนราบ’ ไม่นานวิถีชีวิตนี้ก็กลายเป็นเทรนด์ที่โด่งดังมากท่ามกลางคนรุ่นใหม่ในจีน มีคนออกจากงานและหันมาใช้ชีวิตแบบนอนราบตามเป็นจำนวนมาก

อะไรคือปัจจัยที่ทำให้การกระทำพื้นฐานมากๆ อย่าง ‘การนอน’ ได้รับความสนใจมากขนาดนี้

รู้จักกับวัฒนธรรมการทำงานแบบ 996

ชนชั้นกลางในจีนต้องเผชิญกับสังคมการทำงานที่มีการแข่งขันสูงมาก และพวกเขาเหล่านี้ต้องทำงานหนักแบบแทบไม่ได้พัก ตามแนวคิดการทำงานแบบ “996” 

ซึ่งก็คือการทำงานตั้งแต่เก้าโมงเช้า (9 a.m.) ถึงสามทุ่ม (9 p.m.) เป็นเวลา 6 วันต่อสัปดาห์

แนวคิดการทำงานนี้ถูกสรรเสริญโดยผู้บริหารอย่างแจ็คหม่า และเป็นที่นิยมอย่างมากในบรรดาบริษัทอุตสาหกรรมเทคโนโลยี วัฒนธรรม “996” จึงกลายเป็นเรื่องปกติใหม่ของชาวจีนไปโดยปริยาย เท่านั้นยังไม่พอ แนวคิดนี้ยังสอดคล้องกับค่านิยมที่เน้นให้ ‘ทำงานหนัก’ และ ‘บริโภคเยอะ’ ตามที่รัฐบาลจีนพยายามปลูกฝัง เพื่อให้เศรษฐกิจของประเทศเดินหน้าต่อไปได้

นอกจากต้องเจอกับการทำงานหนักเป็นเวลานานแล้ว คนรุ่นใหม่จำนวนมากเกิดในยุคที่รัฐบาลสนับสนุนให้มีลูกคนเดียว พวกเขาจึงต้องแบกรับแรงกดดันมหาศาลจากทุกด้าน ตั้งแต่ครอบครัวไปจนสังคมการทำงาน ที่มีแต่คนรุ่นเก่าที่เชื่อในความขยันและการทำงานหนัก

เพราะการทำงานกลายมาเป็นเรื่องสุดจะทนเช่นนี้เอง การพักผ่อนจึงเป็นการต่อต้าน

ถ่างผิง: เมื่อการนอนมีความหมายมากกว่านั้น

การใช้ชีวิตแบบนอนราบจึงกลายมาเป็นเทรนด์ในการต่อต้านการทำงานหนักจนเกินไป แนวคิดอย่างบริโภคนิยม (Consumerism) และทุนนิยม (Capitalism)

Advertisements

แน่นอนว่าวิถีชีวิตแบบนอนราบ ไม่ได้หมายถึงการนอนอย่างเดียวเท่านั้น แต่รวมถึงการไม่แต่งงาน ไม่มีลูก ไม่ซื้อบ้าน ไม่ซื้อรถ ไม่ทำงานเกินเวลา หรือไม่ทำงานประจำเลย หากคนรุ่นเก่าเชื่อว่าหนทางสู่ความสำเร็จในชีวิตคือการทำงานหนัก แต่งงาน และมีครอบครัว พวกเขาขอเลือกที่จะทำตรงข้าม

ความเห็นของแต่ละฝ่ายต่อวิถีชีวิตแบบนอนราบก็แตกต่างกันออกไป บ้างมองว่านี่คือการปลดแอกจากลัทธิบริโภคนิยม บ้างก็มองว่าเป็นการปฏิเสธชีวิตที่ต้องดิ้นรนและฝ่าฟัน ส่วนนักวิชาการมองว่า การนอนราบสะท้อนให้เห็นถึงความฝันอันแหลกสลายของชนชั้นกลาง ที่ต้องเจอกับงานหนัก ค่าตอบแทนที่ไม่ยุติธรรม และชีวิตในเมืองที่แพงขึ้นทุกวันๆ

“คนรุ่นใหม่รู้สึกกดดันแบบอธิบายไม่ได้ พวกเขารู้สึกว่าความฝันต่างๆ ได้ถูกทำลาย” เซียงเปียว ศาสตราจารย์ด้านมานุษยวิทยาสังคมแห่งมหาลัยวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด กล่าว “ผู้คนตระหนักว่าความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นไม่ใช่ความหมายเดียวของชีวิตอีกต่อไป”

อย่างไรก็ตาม รัฐบาลจีนมองว่าแนวคิดเช่นนี้เป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ จึงมีการลบกลุ่มของชาวนอนราบที่มีสมาชิกกว่า 9,000 คนในเว็บไซต์ Douban และในอีกเว็บไซต์ที่มีสมาชิกกลุ่มมากกว่า 200,000 คน จากนั้นโพสต์ที่พูดถึงการนอนราบก็ถูกลบเรื่อยๆ มาโดยตลอด

สำนักข่าวของรัฐบาลกล่าวว่าวิถีชีวิตนอนราบนั้น “น่าละอาย” และตีพิมพ์เนื้อหาในหนังสือพิมพ์เพื่อเตือนเด็กรุ่นใหม่ต่อการนอนเฉยๆ ก่อนประสบความสำเร็จ

ด้านลั่วหัวจง ผู้ริเริ่มเทรนด์ที่มองว่า ‘การนอนราบคือความยุติธรรม’ มีการออกมาโต้ตอบว่าอีกฝ่ายต่างหากเป็นพวกที่ไร้ยางอาย “ผมมีสิทธิ์เลือกชีวิตที่ไม่เร่งรีบ ผมไม่ได้สร้างความเสียหายแก่สังคม คนเราต้องทำงาน 12 ชั่วโมงในโรงงานนรกเท่านั้นหรือถึงจะเรียกว่ายุติธรรม”

หันกลับมาที่ตัวเรา คนที่เคยบ่นทำนองว่า ‘อยากนอนเฉยๆ ไม่ได้อยากทำงาน’ ก็ต้องยอมรับว่ามีบ้างที่แอบคิดเช่นนั้นจริงๆ เพราะโลกการทำงานนั้นไม่ได้ง่ายเลย แต่การหันมาต่อต้านด้วยวิถีชีวิตแบบ Lying Flat Movement ก็ดูจะสุดโต่งไปหน่อยสำหรับใครหลายๆ คน

ใครที่เหนื่อยกับการทำงานและอยากพัก อย่าลืมว่าเรามีตัวเลือกมากกว่านั้น ไม่จำเป็นต้อง ‘วิ่งไม่หยุด’ หรือ ‘หยุดวิ่งไปเลย’ เสมอไป เราเลือกได้ว่าจะวิ่งให้ช้าลง เดิน หรือคลาน ขอแค่เป็นจังหวะที่เรามีความสุขกับชีวิตไปด้วยได้ก็พอ


เนื้อหาอื่นๆ ที่น่าสนใจ
ขี้เกียจ (ให้พอดี) นั้นมีประโยชน์! เพราะความคิดสร้างสรรค์เกิดขึ้นได้เมื่อเราหยุดพัก
เสริมสร้างพลังใจตลอดวันกับ 7 คำถาม ที่คุณควรถามตัวเองในทุกเช้า

อ้างอิง
https://nyti.ms/2UVEWBd
https://wapo.st/3mGdYJt
https://nyti.ms/3DpYOxP

#missiontothemoon
#missiontothemoonpodcast
#society

ติดตามความเคลื่อนไหวและเนื้อหาน่าสนใจอื่นๆ ได้ที่ https://missiontothemoon.co/

Advertisements