หากพูดถึงการเป็นคนดังเฉกเช่นดารา ศิลปิน นักร้อง อินฟลูเอนเซอร์ หรือยูทูบเบอร์ทั้งหลาย ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าการอยู่ในวงการนี้มีข้อดีคือการมีชื่อเสียงและเงินทองมากมาย แต่ในขณะเดียวกัน การยืนอยู่ ณ จุดนั้นต้องแลกกับอะไรหลายอย่างแบบไม่อาจเลี่ยงได้ หนึ่งในนั้นคือ “Privacy” หรือ “ความเป็นส่วนตัว”
บางคนอาจมองว่าการละทิ้งความเป็นส่วนตัวเพื่อแลกกับการได้เป็นดาราและความมั่งคั่งก็ไม่เห็นจะมีปัญหาใดๆ เลย เพราะพวกเขาเหล่านั้นได้มีชีวิตดีๆ ที่ใครหลายคนอยากมี แต่แท้จริงแล้วมันถือเป็นปัญหาใหญ่สำหรับใครหลายคนที่อยู่ในวงการนี้ เพราะมันสามารถนำไปสู่ภาวะซึมเศร้าและการฆ่าตัวตายได้
ดังนั้นเราจึงควรมาทำความเข้าใจเรื่อง Privacy กันใหม่ เพื่อไม่ให้ไปละเมิดความเป็นส่วนตัวของคนอื่นโดยไม่รู้ตัว เพราะถึงแม้ว่าบางคนจะมีความคิดสุดโต่งว่าหากอยากเป็นศิลปินก็ต้องยอมแลกความเป็นส่วนตัวทั้งหมดของตัวเอง แต่ในความเป็นจริงแล้ว ไม่ว่าก็สมควรมีพื้นที่ส่วนตัวกันบ้างทั้งนั้น จริงไหม?
ความเป็นส่วนตัวนั้นสำคัญไฉน
เมื่อพูดถึงคำว่า Privacy หรือความเป็นส่วนตัวแล้ว ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่กว้างมากๆ และเกี่ยวข้องกับหลายแขนงในชีวิตเรา หากพูดถึงความเป็นส่วนตัวในโลกโซเชียลมีเดีย หลายคนก็อาจนึกถึง Privacy Policy ที่ปรากฏตามหน้าเว็บไซต์ต่างๆ ซึ่งเป็นการแจ้งรายละเอียดว่าเว็บไซต์จะเก็บข้อมูลอะไรของเราและจะมีมาตรการในการรักษาความเป็นส่วนตัวของข้อมูลเราอย่างไรบ้าง
ซึ่งสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นเพราะเราก้าวเข้าสู่ยุคดิจิทัล ทุกอย่างเริ่มเข้าสู่โลกออนไลน์ ข้อมูลส่วนบุคคลและความเป็นส่วนตัวจึงเป็นเรื่องที่สำคัญและเราเองก็ควรให้ความสำคัญด้วย แต่นอกจากเรื่อง Privacy ที่เกี่ยวข้องกับตัวเราเองแล้ว อีกหนึ่งเรื่องที่เราควรให้ความสำคัญไม่แพ้กันคือความเป็นส่วนตัวของ “ผู้อื่น” โดยเฉพาะกับคนดังที่หลายคนมองว่า “เมื่อคุณเลือกจะเป็นคนดังแล้ว ก็ต้องรับเรื่องความเป็นส่วนตัวที่หายไปให้จงได้”
เมื่อเรากำลังอยู่ในโลกที่ไร้ Privacy
ตอนนี้อาจกล่าวได้ว่าเรากำลังอยู่ในโลกที่ความเป็นส่วนตัวนั้นเหมือนกับ “สัตว์ใกล้สูญพันธุ์” ยกตัวอย่างให้เห็นง่ายๆ คือ การที่สำนักข่าวชื่อดังในเกาหลีชอบหากินกับข่าวเดตของศิลปินชื่อดัง ผ่านการแอบถ่ายรูปของศิลปินหลายคู่แล้วนำมาลงข่าวอยู่ทุกปีๆ
หรือหากดูในฝั่งของอเมริกา จัสติน บีเบอร์เองก็ถูกปาปารัสซีแอบถ่ายภาพขณะที่กำลังใช้ชีวิตส่วนตัว หรือโดนแฟนคลับยืนรออยู่หน้าบ้านอยู่บ่อยครั้ง ซึ่งเขาเองก็เคยออกมาร้องขอให้ช่วยเคารพความเป็นส่วนตัวของเขาด้วย หรือนักแสดงสาวอย่างรีส วิเธอร์สปูนเองก็เคยออกมาพูดว่า เวลาจะออกไปในที่สาธารณะแต่ละครั้งเป็นเรื่องที่ยากมาก บางครั้งเธอก็ทำได้แค่อยู่ในรถและร้องไห้
จะเห็นได้ว่าหนึ่งในปัจจัยที่ทำให้ความเป็นส่วนตัวของคนดังหดหายไปคือ “สื่อ” ที่ตามติดชีวิตศิลปินจนเหมือนเป็นสตอล์กเกอร์ และอีกปัจจัยหนึ่งก็หนีไม่พ้น “แฟนคลับ” ที่เป็นสตอล์กเกอร์หรือที่ใครหลายๆ คนเรียกว่า “ซาแซง”
แล้วติ่งขนาดไหนกันล่ะที่เรียกว่าเกินพอดี? จริงๆ ในทางการแพทย์มีคำว่า Celebrity Worship Syndrome (CWS) หรือการบูชาคนดัง คือความผิดปกติทางจิตที่ผู้ป่วยจะคลั่งไคล้และหมกมุ่นกับชีวิตของศิลปินหรือคนดังขั้นรุนแรง จนถึงขั้นมีพฤติกรรมที่แสดงให้เห็นถึงการคุกคาม เช่น การสะกดรอยตามจนทำให้ศิลปินเกิดความวิตกกังวลหรือหวาดกลัว
จริงๆ แล้วการบูชาคนดังนั้นมีหลายระดับ อย่างเบาๆ คือการตั้งชื่อลูกหรือแต่งตัวตามดาราที่ชอบ แรงขึ้นมาอีกขั้นคือการทำศัลยกรรมให้เหมือนดาราที่ชื่นชอบ และขั้นรุนแรงสุดขั้วก็อย่างที่กล่าวไปข้างต้นว่าอาจถึงขั้นสะกดรอยตามและล่วงละเมิดเลยก็ว่าได้
ซึ่งจากงานวิจัย “A CLINICAL INTERPRETATION OF ATTITUDES AND BEHAVIORS ASSOCIATED WITH CELEBRITY WORSHI” ชี้ว่า คนทั่วไปมากถึง 1 ใน 3 อาจมีอาการ Celebrity Worship Syndrome ในระดับรุนแรง กล่าวคือ มีความเอาใจใส่บุคคลเป้าหมายอย่างแรงกล้าและมีความคิดที่ไม่มีเหตุผล รวมถึงมีความรักความสัมพันธ์ข้างเดียวแบบเข้มแข็งกับศิลปินด้วย
การรักศิลปินแบบผิดๆ เช่นนี้เองที่ทำให้ความเป็นส่วนตัวของคนที่มีชื่อเสียงนั้นหดหายไปเรื่อยๆ ซึ่งจากเดิมที่ศิลปินไม่ค่อยมีความเป็นส่วนตัวอยู่แล้ว โลกยุคดิจิทัลก็เข้ามาทำให้ความเป็นส่วนตัวลดลงเรื่อยๆ จนแทบไม่หลงเหลือ เพราะคนเข้าถึงข้อมูลและส่งต่อข้อมูลกันง่ายขึ้น
รักษา Privacy คนอื่นอย่างไรในโลกที่ไร้ Privacy
ก่อนอื่นหากใครที่กำลังมีป้าย “สื่อ” แขวนคอไว้อยู่ ก็อาจกล่าวได้ว่าตอนนี้นักข่าวต้องเผชิญกับการรักษาสมดุลระหว่างการเคารพความเป็นส่วนตัวกับการต้องเขียนข่าวที่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณชน หมายความว่าบางครั้งนักข่าวก็อาจต้องรบกวนความเป็นส่วนตัวของใครบางคนอย่างเลี่ยงไม่ได้ เช่น ข่าวอาชญากรรมและพฤติกรรมต่อต้านสังคม การทุจริตหรือความยุติธรรม หรือความสามารถในการทำงานของบุคคลใดบุคคลหนึ่ง ซึ่งกรณีนี้ถือว่าเป็นเรื่องที่ยอมรับได้ เพราะเป็นการทำข่าวเพื่อสาธารณชน
ดังนั้นกฎสำคัญอย่างหนึ่งที่สื่อควรพึงระลึกไว้เสมอคือ จะต้องปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยความยุติธรรมและความเคารพ เหตุผลเดียวที่สื่อจะเข้าไปยุ่งกับความเป็นส่วนตัวของผู้อื่นได้คือ มันจะต้องเป็นไปเพื่อประโยชน์สาธารณะ และสื่อกำลังเผยการกระทำที่ผู้นั้นทำผิดอย่างแท้จริง ไม่ใช่การเขียนข่าวหรือเล่าข่าวแบบใส่สีตีไข่ นำเอาข้อมูลของคนดังมาปู้ยี่ปู้ยำ จนก่อให้เกิดความเสียหายโดยไม่มีหลักฐานหรือมีประโยชน์ต่อสาธารณชนแต่อย่างใด
และอีกอย่างหนึ่งคือ หากมีแหล่งข่าวใดส่งข่าวมาให้หลังบ้าน ในฐานะสื่อจะต้องมีการเช็กข้อมูลอย่างรอบด้านว่าแหล่งข่าวน่าเชื่อถือขนาดไหน ข้อมูลนั้นเป็นจริงหรือไม่ หรือข้อมูลนั้นสมควรลงข่าวให้สาธารณชนรับรู้หรือไม่ หากลงไปจะเป็นการละเมิดความเป็นส่วนตัวของผู้อื่นหรือเปล่า เช่น ภาพ คลิปเสียง หรือวิดีโอที่เป็นเรื่องส่วนตัว หากเจ้าของเสียง คนที่อยู่ในภาพหรือในวิดีโอยังไม่ได้อนุญาตให้ปล่อย สื่อก็ไม่สมควรที่จะลง
อย่าลืมว่าในฐานะสื่อควรจะต้องสร้างความน่าเชื่อถือ ความไว้วางใจ ความซื่อสัตย์ ความยุติธรรม และความถูกต้อง เพราะมันคือจรรยาบรรณของการเป็นสื่อ อย่าละทิ้งค่านิยมเหล่านี้ ไม่เช่นนั้นผู้ติดตามหรือประชาชนคนทั่วไปจะสูญเสียความไว้วางใจในตัวคุณ เฉกเช่นกรณีข่าวลุงพล ที่มีสำนักข่าวลงข้อมูลโจมตีพ่อแม่ของผู้เสียหาย แต่กลับให้แสงผู้ต้องสงสัยในคดี ในท้ายที่สุดความน่าเชื่อถือของการเป็นสื่อจึงลดลง
ในขณะเดียวกัน หากพูดถึงในฐานะคนธรรมดาทั่วไปว่าควรทำอย่างไรถึงจะไม่ละเมิดความเป็นส่วนตัวของผู้อื่น อย่างแรกที่เราสามารถทำได้คือ หากเห็นข่าวที่ละเมิดความเป็นส่วนตัวของผู้อื่นอย่าส่งต่อข่าวนั้น เพื่อที่เราจะได้ไม่เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของการทำผิดในครั้งนั้น
และอีกทางหนึ่งที่เราสามารถทำได้คือ อย่าปล่อยข่าวที่ละเมิดความเป็นส่วนตัวของผู้อื่น ช่วงนี้เราจะเห็นการไหลตามกันในโซเชียลบ่อยๆ เช่น คนหนึ่งแฉ อีกคนออกมาแฉตาม แล้วชาวโซเชียลก็ก่นคำด่าไปตามๆ กัน โดยที่ยังไม่รู้ว่าเรื่องที่คนเหล่านั้นออกมาเล่าจริงเท็จแค่ไหน แถม ‘บางครั้ง’ ยังเป็นการละเมิดความเป็นส่วนตัวของคนอื่นอีกด้วย เช่น ขุดเอาข้อมูลส่วนตัวของคนที่กำลังเป็นประเด็นมาแขวนในโลกโซเชียล
ดังนั้น หากอยากให้โลกของเราน่าอยู่ขึ้น อยากให้ศิลปินที่เรารักมีความสุขมากขึ้น เราก็ควรหันมาตระหนักถึงเรื่อง Privacy กันให้มากขึ้น
เราสามารถชื่นชอบหรือรักศิลปินคนไหนก็ได้ แต่อย่าลืมว่าสุดท้ายแล้วเราไม่ควรละเมิดความเป็นส่วนตัวของคนอื่น หรือแม้แต่หากเราไม่ชอบศิลปินคนไหน เมื่อมีข่าวเสียๆ หายๆ ออกมา เราก็ควรฉุกคิดก่อนว่าสิ่งที่เรากำลังจะทำหรือจะพิมพ์ลงไปมันเป็นการละเมิดความเป็นส่วนตัวของผู้อื่นหรือเปล่าหรือข่าวนั้นจริงเท็จแค่ไหน จงระลึกไว้เสมอว่าอย่าล้ำเส้นคนอื่นเหมือนที่เราเองก็ไม่อยากให้ใครมาล้ำเส้นความเป็นส่วนตัวของเรา
“Treat others how you want to be treated.” – ปฏิบัติต่อคนอื่นให้เหมือนกับที่อยากให้คนอื่นปฏิบัติกับเรา ประโยคนี้เป็นจริงและสามารถหยิบยกขึ้นมาใช้ได้เสมอ กับเหตุการณ์ข้างต้นนี้ก็เช่นกัน
จงมีสติ รู้ว่าตัวเองกำลังทำอะไร และเอาใจเขามาใส่ใจเราเสมอ
อ้างอิง
– Fan or Obsession? All About Celebrity Worship Syndrome : PsychCentral – https://bit.ly/3NQVrGS
– Privacy 2.0: We Are All Celebrities Now : Linton Weeks, NPR – https://bit.ly/48HBhHo
– Respecting privacy as a journalist : Media Helping Media – https://bit.ly/4aKdp7P
#society
#privacy
#missiontothemoon
#missiontothemoonpodcast