- Lifelong Learning หรือ การเรียนรู้ตลอดชีวิต เป็นสิ่งที่สำคัญมากในยุคนี้ และการที่จะเป็น self-directed learners ได้นั้นคุณต้องเข้าใจกระบวนการในการเรียนรู้สิ่งใหม่อย่างแท้จริง ต้องรู้จักการตั้งเป้าหมายที่ดีในการเรียนรู้ (ในบทความนี้อธิบายถึงการตั้งเป้าหมายแบบ SMART) เข้าใจวิธีย่อยข้อมูลที่ดี ปรับการเรียนรู้ของตัวเองให้เป็น Active Learning รวมไปถึงการสร้างแรงบันดาลใจให้กับตัวเองในการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ
Lifelong Learning หรือ การเรียนรู้ตลอดชีวิต เป็นคำที่เราคงได้ยินกันบ่อย ๆ ในยุคนี้ โดยเฉพาะในช่วงหลัง ๆ นั้นก็เป็นเพราะเราอยู่ในยุคที่ทุกอย่างรอบตัวเรานั้นถูกเปลี่ยนแปลงและเคลื่อนที่ไปข้างหน้าแบบเร็วสุด ๆ อย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ความรู้เดิมที่เราเคยมีหรือสิ่งที่เราเคยทำมา อาจจะไม่สามารถนำพาเราไปข้างหน้าได้อีกต่อไป
คนที่จะสามารถก้าวไปพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นได้นั้น จึงต้องเป็นคนที่มีนิสัยของการเรียนรู้ตลอดชีวิต คำถามคือแล้วเราจะต้องทำอย่างไร ผมไปอ่านเจอบทความอันหนึ่งจาก The World Economic Forum ที่ชื่อว่า Bill Gates and Benjamin Franklin share this learning habit เห็นว่ามีเนื้อหาที่น่าสนใจเลยหยิบมาเล่าให้ฟังครับ
Lifelong Learning : เรียนรู้ตลอดชีวิต
The World Economic Forum เคยตีพิมพ์รายงานฉบับหนึ่งซึ่งระบุว่าภายใน 2-3 ปี ต่อจากนี้คนที่อยู่ในตลาดแรงงานทั้งหมด จะต้องใช้เวลา 101 วัน ในการเรียนรู้เรื่องใหม่ ๆ แต่การเรียนรู้เรื่องใหม่ ๆ ที่ว่านั้นไม่ได้หมายถึงการเรียนรู้วิชาใหม่เลยซะทั้งหมด แต่เป็นการเรียนรู้จากการทำงานไปด้วย หรือเรียนเรื่องบางอย่างเพื่อที่จะรู้แบบพอประมาณ
ซึ่งตรงกันข้ามกับการเรียนรู้เรื่องใหม่แบบจริง ๆ ที่มีกระบวนการในการเรียนรู้ที่ออกจะค่อนข้างซับซ้อน และเป็นการเรียนรู้ศาสตร์หรือวิชาใหม่เลย ถ้าเปรียบเทียบก็เหมือนกับการเรียนเพื่อสอบในมหาวิทยาลัย และในบทความนี้เราจะมาพูดถึงส่วนนี้กันครับ
เป็นที่รู้กันดีว่ามีคนจำนวนหนึ่งที่ไม่ได้เรียนอยู่ในระบบการศึกษาแบบดั้งเดิม (traditional education) แต่ก็ยังคงประสบความสำเร็จอย่างสูงในสาขาวิชาชีพของเขา ตั้งแต่ Steve Job, Bill Gates, Ellen DeGeneres, Anna Wintour, Henry Ford, John D. Rockefeller และอีกมากมายหลายคน
หลังจากเขาไปศึกษาประวัติของคนเหล่านี้ เขาก็พบว่าคนกลุ่มนี้มีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกัน ซึ่งนั้นก็คือความเป็น self-directed learners (คนที่สามารถพาตนเองไปเรียนรู้เรื่องใหม่ ๆ ได้ด้วยตัวเอง) อย่างที่รู้กันดีว่าในทุกวันนี้ความเป็น self-directed learners นั้น มีความจำเป็นอย่างมาก เพราะระบบการศึกษาของเราแต่ก่อนก็อาจจะครอบคลุมประมาณหนึ่ง แต่ในทุกวันนี้การเรียนในระบบเพียงอย่างเดียวก็อาจจะไม่ครอบคลุมเสียแล้ว
ใบบทความของ The World Economic Forum บอกไว้ว่า “บางทีใบปริญญาที่เราเรียนมา ทันทีที่มหาวิทยาลัยพิมพ์ใบจบการศึกษาให้กับเรา เรื่องที่เราเรียนมามันก็ล้าสมัยไปแล้ว” ในความเป็นจริงผมคิดว่าเรื่องนี้มีส่วนจริงอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมด เพราะเวลาเราเรียนรู้เรื่องใหม่ ๆ มันไม่ใช่การเรียนเรื่องใหม่ทั้งหมด แต่มันคือการเอาความรู้เก่ามาต่อยอดด้วย เพราะเหตุนี้การเรียนรู้ในระบบปัจจุบันจึงยังคงมีประโยชน์อยู่มาก
แต่ในขณะเดียวกันเราก็จะหยุดเรียนรู้ไม่ได้ แม้เราจะได้รับใบปริญญามาแล้วก็ตาม
คุณต้องเป็นเจ้าของกระบวนการเรียนรู้ทั้งหมดของคุณ
การที่คุณจะเป็น self-directed learners ได้นั้นคุณต้องควบคุมตัวเองให้สามารถเรียนรู้เรื่องใหม่ ๆ ได้ และคุณต้องเป็นเจ้าของกระบวนการในการเรียนรู้ทั้งหมด (Take ownership of your learning) นั้นหมายความว่าเราต้องมีความเข้าใจถึงกระบวนการของความเป็น self-directed learners ซึ่งกระบวนการที่ว่านั้นมีดังนี้ครับ
- เรียนได้ด้วยตัวเอง โดยที่ไม่ต้องให้ใครมาเคี่ยวเข็ญ
- วิเคราะห์ได้ว่าเราต้องเรียนเรื่องอะไร และเพราะอะไร
- มีเป้าหมายที่ชัดเจน
- ต้องใช้ทรัพยากรอะไรบ้างในการเรียนรู้ เช่น ต้นทุนเวลาหรือค่าใช้จ่าย
- เลือกกลยุทธ์ในการเรียน เช่น เรียนผ่าน คอร์ส, สัมมนา, อ่านหนังสือ หรือทั้งหมด
- ต้องประเมินผลได้ ข้อนี้สำคัญมาก
Salman Khan ผู้ก่อตั้ง Khan Academy บอกว่า จริง ๆ แล้วการเรียนเองก็ไม่ได้แตกต่างจากการเรียนในมหาวิทยาลัยหรือในโรงเรียนเท่าไหร่นัก มันเป็นภาพลวงตาที่เราคิดว่าเวลาเรียนในมหาวิทยาลัยจะเป็นการเรียนรู้แบบที่มีคนมาป้อนข้อมูลให้กับเรา เพราะในความเป็นจริงการเรียนมหาวิทยาลัยเป็นการสร้าง บริบท (context) ที่ทำให้เราสามารถดึงเอาข้อมูลออกมาใช้ได้มากที่สุด
ซึ่งในจุดนี้เองที่ทำให้คนที่มีความเป็น self-directed learners นั้นแตกต่างจากคนทั่วไป คือคนกลุ่มนี้เขาสามารถสร้าง context ของการเรียนรู้ขึ้นมาได้โดยที่ไม่ต้องเพิ่งมหาวิทยาลัย แล้ววิธีการที่ดีที่สุดในการสร้าง context ที่จะทำให้เราสามารถเรียนรู้ได้อย่างต่อเนื่องนั้นก็คือการมี “Growth mindset”
เพราะคนที่มี Growth mindset จะอยากที่จะเรียนรู้ เชื่อว่าทุกอย่างพัฒนาได้ ไม่เก่งก็ฝึก ไม่รู้ก็ต้องเรียนรู้ ซึ่งจะแตกต่างจากคนที่เป็น Fixed Mindset เพราะคนที่เป็น Fixed Mindset จะเชื่อว่าทุกอย่างบนโลกนี้ถูกกำหนดมาไว้หมดแล้ว คนนั้นเก่งก็เพราะเขาฉลาดอยู่แล้ว เราไม่รู้เรื่องนั้นหรอกเพราะเราไม่ได้เรียนมา หรือเราคงไม่สามารถเรียนรู้ได้ด้วยตัวเองหรอกมันคงยากเกินไปสำหรับเรา
วิธีของคนที่เป็น Fixed Mindset โต้ตอบกับเหตุการณ์ต่าง ๆ
เหตุการณ์ | วิธีโต้ตอบของคนที่มี Fixed Mindset |
เวลาเจอความท้าทาย | พยายามหลีกเลี่ยง เพราะกลัวล้มเหลว และในมุมมองของคนที่มี fixed mindset คนที่เก่งจะต้องไม่ล้มเหลว |
เมื่อเจออุปสรรค | ล้มเลิกได้ง่าย |
วิธีคิดเกี่ยวกับความพยายาม | ความพยายามที่ทุ่มเทไปคงไม่ช่วยเปลี่ยนอะไร |
เมื่อเจอคำวิจารณ์ | ไม่ชอบ/ไม่สนใจ Feedback ที่เป็นคำติ |
เมื่อเห็นคนอื่นสำเร็จ | รู้สึกไม่ดี/รู้สึกถูกคุกคาม เมื่อเห็นความสำเร็จของผู้อื่น |
วิธีของคนที่เป็น Growth Mindset โต้ตอบกับเหตุการณ์ต่าง ๆ
เหตุการณ์ | วิธีโต้ตอบของคนที่มี Growth Mindset |
เวลาเจอความท้าทาย | ไม่เป็นไร อันนี้เรายังไม่รู้ แต่เราพร้อมที่จะเรียนรู้เพิ่ม |
เมื่อเจออุปสรรค | เป็นเรื่องธรรมดา และสู้ต่อไป |
วิธีคิดเกี่ยวกับความพยายาม | เชื่อว่าความพยายามจะเป็นเครื่องมือที่จะนำพาตัวเองไปสู่ความสำเร็จ |
เมื่อเจอคำวิจารณ์ | ยอมรับคำติ นำมาวิเคราะห์ และพัฒนาปรับปรุงตัวเอง |
เมื่อเห็นคนอื่นสำเร็จ | มีเรื่องอะไรที่เราสามารถเรียนรู้ได้จากคนที่ประสบความสำเร็จเหล่านี้ได้บ้าง |
ตั้งเป้าหมายแบบ SMART ในการเรียนรู้สิ่งใหม่
การตั้งเป้าหมายแบบ SMART ประกอบไปด้วย
- S = Specific = ชัดเจน
- M = Measurable = วัดผลได้
- A = Action-oriented = ระบุเลยว่าจะทำอะไร
- R = Realistic = อยู่ในความเป็นจริง
- T = Time-defined = เป้าหมายที่ตั้งจะเสร็จเมื่อไหร่
และอย่าลืมบริหารจัดการเวลาให้ดี (time management) เพราะคนที่เป็น self-directed learners ที่ดี จะต้องมีการวางแผนเรื่อง time management ที่ดีด้วยเป็นของที่มาคู่กันเสมอ
การเป็น self-directed learners ที่ตั้งเป้าหมายแบบ SMART จะตรงกันข้ามกับการตั้งเป้าหมายแบบ VAPID โดยสิ้นเชิง การตั้งเป้าหมายแบบ VAPID จะประกอบไปด้วย
- V = Vague = ไม่ชัดเจน
- A = Amorphous = ไม่เป็นระเบียบ ไม่มีแบบแผนที่ชัดเจน
- P = Pie-in-the-sky = สร้างวิมานในอากาศ (มโน)
- I = Irrelevant = ไม่เกี่ยวข้อง
- D = Delayed = ไม่เสร็จสักที
จงจดจำไว้ว่า Self-directed learners ที่ดีต้องไม่เป็นแบบ VAPID
กฏ 5 ชั่วโมงของ เบนจามิน แฟรงคลิน
Benjamin Franklin เป็นทั้งนักเขียน นักการเมือง นักวิทยาศาสตร์ นักลงทุน และผู้ประกอบการ ซึ่งตัวเขาเองนั้นได้เรียนหนังสือในระบบถึงแค่ 10 ขวบ แต่เขาศึกษาเรื่องต่าง ๆ ด้วยตัวเองอย่างต่อเนื่อง รวมถึงมีการวางแผนในการเรียนรู้ที่ดีด้วย
Benjamin Franklin จะใช้เวลา 1 ชั่วโมง ในวันธรรมดาเพื่อเรียนรู้เรื่องใหม่ ๆ ในหนึ่งสัปดาห์เขาจะใช้เวลาเรียนรู้เรื่องใหม่ ๆ รวมกันประมาณ 5 ชั่วโมง
เขาบอกว่าการเรียนรู้วันละ 1 ชั่วโมง 5-6 วันต่อสัปดาห์ เป็นวิธีที่ดีที่สุดในการเรียนรู้เรื่องใหม่ ๆ เพราะการเรียนรู้เรื่องใหม่วันละ 1 ชั่วโมงนั้น จะทำให้สมองของเรานั้นไม่ต้องทำงานหนักจนเกินไป เพราะอย่าลืมนะครับว่าเราทุกคนต้องทำงานประจำ มีภาระหน้าที่ต้องรับผิดชอบมากมายในชีวิตประจำวัน
การเรียนรู้สิ่งใหม่นั้นเป็นส่วนเสริมของชีวิต ถ้าการเรียนรู้สิ่งใหม่ของเรามันหนักเกินไปสมองของเราจะถอยครับ ดังนั้นการที่คุณเอาการเรียนทั้งสัปดาห์มายัดลงในวันเดียว ทีเดียวครั้งละ 5-6 ชั่วโมง บางทีมันอาจจะทำให้เราเก็บรายละเอียดได้ไม่หมด (สำหรับผมคือไม่หมดแน่ ๆ )
เพราะระบบประสาทหรือสมองของเรา มันต้องใช้เวลาในการประมวลผลข้อมูล เพราะฉะนั้นการวางแผนในการเรียนรู้ให้ย่อยออกไปในแต่ละวัน จึงทำให้สมองของเราสามารถที่จะตกผลึกเรื่องที่เราเรียนรู้ได้มากยิ่งขึ้น
Active Learning : เรียนรู้แบบแอคทีฟ
Salman Khan ผู้ก่อตั้ง Khan Academy บอกว่าคนที่มี Active learning หรือการที่ผู้เรียนมีโอกาสที่จะได้ลงมือทำสิ่งนั้นด้วยตัวเอง สมมุติว่าเราเรียนเลขก็จะมีโจทย์เลขมาให้ทำ แต่ในบางวิชาที่มัน Active learning ยาก ๆ เช่นการศึกษาประวัติศาสตร์เพราะเราไม่รู้ว่าจะ Active learning ยังไง เพราะส่วนใหญ่ก็มีแต่อ่านหนังสือ
แต่จริง ๆ เราก็สามารถทำ Active learning กับการอ่านได้นะครับ ซึ่งเรื่องนี้ Bill Gates บอกว่าเขาใช้วิธีที่เรียกว่า marginalia-note-taking คือการจดโน๊ตลงไปในช่องว่าง ๆ ของหนังสือ
Bill Gates เล่าว่ามันเป็นเหมือนกับการพูดคุยกับผู้เขียน และเมื่อคุณอ่านหนังสือแล้วคุณต้องคิดตามว่า สิ่งที่คุณกำลังอ่านนี้ คุณอ่านเรื่องอะไร พยายามทำความเข้าใจ (อย่าอ่านแค่ผ่าน ๆ ไป)
โดยเฉพาะเมื่อเราอ่านเพื่อที่จะเรียนรู้อะไรบางอย่าง เพราะว่าความรู้ใหม่ที่คุณกำลังอ่านในหนังสือเล่มนี้ มันจะไปเชื่อมต่อกับความรู้เก่าที่คุณมีอยู่ ฉะนั้นคุณต้องเห็นจริง ๆ ว่ามันเชื่อมกันยังไง Bill Gates บอกว่าสำหรับเขาแล้ว การจดด้วยมือเป็นสิ่งที่เขาทำแล้วมันได้ผลดีที่สุด สำหรับการอ่านหนังสือเพื่อให้รู้เรื่องและเข้าใจจริง ๆ
จัดลำดับความสำคัญด้วยกฎ 80/20
กฎ 80/20 ที่เราคุ้นเคยกันดีของ Vilfredo Pareto และกฎนี้ก็สามารถที่จะใช้ได้กับการเรียนรู้ด้วยตัวเองด้วยเช่นกัน ในทุกศาสตร์หรือวิชาจะมีหลักที่สำคัญมาก ๆ อยู่ประมาณ 20-30% หาแกนของสิ่งที่เรากำลังเรียนรู้ให้เจอ เลือกตรงนั้นออกมาและจงตั้งใจกับมัน
พาตัวเองไปในที่ ที่มีความรู้อยู่
ซึ่งไม่จำเป็นจะต้องเป็นห้องสมุดเสมอไป อาจจะเป็นการพาตัวเองไปอยู่ในกลุ่มคนที่มีความรู้เรื่องที่เรากำลังสนใจ หรือแม้กระทั่งการไปฟังข้อมูลดี ๆ (จริง ๆ) จากงานสัมมนาต่าง ๆ คือจะเป็นที่ไหนก็ได้ ที่เราสามารถไปหาความรู้ได้ เพราะในบางครั้งความรู้จำนวนมาก เราไม่สามารถค้นหาใน Google ได้
โดยเฉพาะฐานข้อมูลที่มหาวิทยาลัยหรือหน่วยงานต่าง ๆ ซื้อไว้ ซึ่งมันมีงานวิจัยคุณภาพสูงจำนวนมากที่ขายกันฉบับละ 3,000 เหรียญ คือยังไงเราก็ซื้อเองไม่ไหว และข้อมูลเหล่านี้นี่ละครับจะอยู่ในห้องสมุดมหาวิทยาลัย หรือ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่าง ๆ ซึ่งเขามีข้อมูลนี้อยู่
Ray Bradbury นักเขียนชาวอเมริกันชื่อดัง ผู้เขียนหนังสือชื่อดังอย่าง ฟาเรนไฮต์ 451 (Fahrenheit 451) ตัวเขาไม่ได้เรียนมหาวิทยาลัย แต่สิ่งที่เขาทำคือเขาไปที่ห้องสมุดประจำเมืองสัปดาห์ละหลาย ๆ ครั้งแทน ผลจากใฝ่หาความรู้อย่างต่อเนื่องของเขา ในที่สุด Ray Bradbury ก็ได้เป็นหนึ่งในนักเขียนที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในศตวรรษที่ 21
หาแรงบันดาลใจในการเรียนรู้สิ่งใหม่
ในการเรียนรู้ด้วยตัวเองนั้น ไม่ได้มีเกรดให้ ถึงเขาให้เกรดมาคุณก็ไม่รู้ว่าจะเอาไปทำอะไร ได้ใบรับรองก็โอเคประมาณหนึ่ง แต่มันก็ไม่ได้มีแรงผลักดันเหมือนตอนเรียนปริญญาหรอก เพราะฉะนั้นจึงต้องมีการสร้างแรงบันดาลใจให้กับตัวเองบ้าง (Motivation)
ทีนี้การสร้าง Motivation ให้ตัวเองก็ขึ้นอยู่กับว่าเราเป็นคนที่อยากจะรู้เรื่องอะไร หรือเรามีเป้าหมายอะไรในชีวิต
ในบทความนี้เขายกตัวอย่าง Mark Cuban มหาเศรษฐีชาวอเมริกัน ปัจจุบันเขาอายุเกือบ ๆ 60 แล้ว ซึ่งในตอนนี้เขากำลังเรียนรู้เรื่องการเขียน Code ภาษา Python
เขาบอกเหตุผลในการเรียนรู้สิ่งนี้ว่า เขามีความเชื่อว่ามหาเศรษฐีที่จะมีทรัพย์สิน 1 ล้านล้านเหรียญ คนแรกของโลก จะต้องทำเงินได้จาก AI (ปัญญาประดิษฐ์ – artificial intelligence)
และเขาก็บอกต่อว่า เขาไม่อยากที่จะถูกทิ้งไว้ข้างหลัง ในขณะที่คนอื่น ๆ กำลังขึ้นรถขบวนนี้ไป แถมเขายังรู้สึกว่ายิ่งเรียนรู้เรื่องนี้มากขึ้นเท่าไหร่ ก็ยิ่งน่าสนใจมากขึ้นเท่านั้น ยิ่งทำให้เขาอยากที่จะเรียนรู้แบบลงลึกมากยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ
แน่นอนว่าทุกคนคงไม่ได้มีแรงบันดาลใจในการเรียนรู้เรื่องใหม่ ๆ ด้วยการตั้งเป้าว่าตัวเองจะต้องเป็นมหาเศรษฐีพันล้าน เพราะแต่ละคนก็อาจจะมีแรงบันดาลใจที่แตกต่างกันไป
แต่มันต้องมีอะไรสักอย่างที่ช่วยเป็นแรงบันดาลใจให้กับเรา เช่น เราอยากมีทักษะอย่างใหม่นี้เพื่ออะไร เรียนสิ่งนี้เพราะอะไร อยากได้ทักษะใหม่นี้เพื่อที่จะได้ก้าวหน้าในอาชีพการงาน หรือเราอยากได้ทักษะใหม่นี้เพราะเรารู้สึกว่ามันเป็นสิ่งที่น่าสนใจ น่าตื่นเต้น จึงอยากที่จะเรียนรู้ ไม่ว่าแบบไหนก็นำมาใช้เป็นแรงบันดาลใจได้ทั้งสิ้นครับ
ทั้งหมดทั้งมวลนี้ผมอยากจะสรุปว่าการเป็น Lifelong Learning เป็นเรื่องที่สำคัญสุด ๆ ยังไงเราก็คงหนีเรื่องนี้กันไม่พ้นอยู่แล้วล่ะ ไม่ว่าจะยังไงในที่สุดแล้ว เราก็ต้องยอมรับและเอาเรื่องนี้มาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต
“ไม่มีคำว่าสายเกินไปสำหรับการเรียนรู้”
ขอให้ทุกคนสนุกกับการเรียนรู้เรื่องใหม่ ๆ นะครับ ^_^