“ภาษา” เป็นสิ่งที่สำคัญและจำเป็นมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะกับคนวัยทำงานที่ต้องเจอกับสังคมที่เปิดกว้างกับทุกภาษา ซึ่งหากจะอธิบายให้เห็นภาพความสำคัญของภาษาง่ายๆ ก็คือ หากเราเปิดเว็บไซต์หางานมา ก็จะเห็นได้ว่าหลายบริษัทต่างก็ต้องการคนเก่งภาษา ไม่ว่าจะเป็นภาษาจีน ญี่ปุ่น เกาหลี และภาษาที่เป็นที่ต้องการมากที่สุดก็คงหนีไม่พ้น “ภาษาอังกฤษ”
เราต่างก็รู้กันดีว่าภาษาอังกฤษนั้นเป็นตัวแปรสำคัญที่สามารถเข้ามาเปลี่ยนชีวิตของเราได้เลย เพราะถ้าเรามีความรู้ภาษาอังกฤษเราก็จะสามารถศึกษาอะไรหลายๆ อย่างได้อย่างกว้างขวางขึ้น สาเหตุส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะไม่ว่าจะหนังสือหรือตำราต่างก็ล้วนเป็นภาษาอังกฤษเกือบทั้งสิ้น เราจึงเรียนภาษาอังกฤษกันมาตั้งแต่ประถมจนถึงมหาวิทยาลัย ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นเวลากว่า 10 ปี
แต่ทำไมสุดท้ายแล้วหลายคนกลับไม่สามารถสื่อสารภาษาอังกฤษในชีวิตจริงได้?
ในบทความนี้เราจะพาไปทำความเข้าใจถึงสาเหตุว่าทำไมเราเรียนภาษาอังกฤษกันมาก็นานแต่พูดไม่ได้สักที รวมถึงเคล็ดลับในการเรียนรู้ภาษาอังกฤษให้พูดได้จริง ที่โรงเรียนอาจไม่เคยสอนเรา แต่ก่อนอื่นอยากจะให้ทุกคนได้ทราบถึงประโยชน์ของการเรียนภาษากันก่อน
ประโยชน์ของการเรียนภาษามีมากกว่าที่คิด
อย่างที่เราทราบกันดีว่าการเรียนภาษาเป็นการเปิดโอกาสชีวิตให้กับเราหลายๆ อย่าง ไม่ว่าจะเป็นการได้ทำงานในองค์กรต่างชาติ มีโอกาสก้าวหน้าในหน้าที่การงาน มีโอกาสได้เงินเดือนสูงขึ้น รวมถึงยังเป็นการเปิดโอกาสให้ไปใช้ชีวิตต่างแดนได้มากขึ้นอีกด้วย
นอกจากนี้แล้วการเรียนภาษาต่างประเทศยังให้ประโยชน์เราในด้านอื่นๆ ด้วย เพราะจากบทความเรื่อง Why learn a foreign language? The benefits of bilingualism ของ Telegraph เขาได้อธิบายไว้ว่าการเรียนภาษาจะช่วยให้เราได้ฝึกสมองมากขึ้น เพราะสมองเราได้เจอความท้าทายใหม่ๆ เช่น คำศัพท์ใหม่ๆ และโครงสร้างประโยคใหม่ๆ ซึ่งสุดท้ายแล้วมันจะทำให้เราแก้ไขปัญหาและจดจำสิ่งต่างๆ ได้ดีกว่าคนที่พูดได้เพียงแค่ภาษาแม่ภาษาเดียว
อีกทั้งการเรียนภาษาที่สองยังช่วยพัฒนาทักษะ Multitasking หรือการทำงานหลายอย่างพร้อมกันอีกด้วย เพราะคนที่พูดได้หลายภาษามีการเรียนรู้หลากหลายทักษะไปพร้อมๆ กัน ตั้งแต่การพูด การอ่าน ไปจนถึงการเขียน นั่นหมายความว่าคนที่พูดได้หลายภาษามีแนวโน้มที่จะมีสมาธิทำสิ่งต่างๆ มากขึ้น
ไม่เพียงแค่นั้น การเรียนภาษาที่สองยังช่วยให้เราพัฒนาทักษะการตัดสินใจได้ด้วย เพราะการเรียนรู้ภาษานั้นเป็นการเรียนรู้คลังคำศัพท์เพิ่ม ทำให้เมื่อถึงเวลาที่ต้องตัดสินใจ คนที่พูดได้หลายภาษาจะใช้เวลาในการตัดสินใจและการทบทวนมากกว่า เพราะต้องคิดว่าควรเลือกใช้คำศัพท์แบบไหน สุดท้ายแล้วจึงสามารถตัดสินใจได้ดีและมั่นใจกว่าคนอื่นนั่นเอง
ทำไมเรียนภาษาอังกฤษมานาน แต่ใช้สื่อสารจริงไม่ได้?
แน่นอนว่าสำหรับการเรียนภาษาอังกฤษ ก็จะมีทั้งคนที่เรียนแล้วพูดได้และคนที่พูดไม่ได้ แต่จากผลการสำรวจของ EF English Proficiency Index ที่ได้มีการจัดอันดับการสื่อสารภาษาอังกฤษทั่วโลก ประจำปี 2022 พบว่า ประเทศไทยรั้งท้ายอยู่อันดับที่ 21 จาก 24 ประเทศในแถบเอเชีย แล้วอะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้คนไทยส่วนใหญ่ไม่สามารถสื่อสารภาษาอังกฤษได้?
เหตุผลอย่างแรกก็คือ “ไม่ได้นำไปใช้ในชีวิตจริง” เพราะส่วนใหญ่แล้วช่วงเวลาที่เราจะได้ใช้ภาษาอังกฤษมากที่สุดก็คือตอนเรียน แต่พอคลาสเรียนจบการใช้ภาษาของเราก็จบลงแค่ตรงนั้นเหมือนกัน ซึ่งสาเหตุส่วนหนึ่งก็มาจากการที่ประเทศไทยไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสารเป็นหลัก เราจึงไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษในชีวิตประจำวันกันเท่าไร
อีกสาเหตุหนึ่งเป็นเพราะ “เน้นเรียนแบบท่องจำเพื่อนำไปสอบ” ก็อย่างที่เราทราบกันดีว่าโรงเรียนในไทยส่วนใหญ่เน้นสอนนักเรียนแบบให้ท่องจำเพื่อนำไปสอบ เช่น สอนท่องศัพท์ และท่องแกรมมา แต่ไม่ได้สอนให้เข้าใจ ซึ่งบางหลักการนั้นก็ไม่สามารถใช้ได้ในชีวิตจริง สุดท้ายแล้วหลายคนจึงไม่สามารถพูดภาษาอังกฤษได้
และอีกสาเหตุสำคัญก็คือ “กลัวพูดผิด” เพราะโดยปกติแล้วการศึกษาไทยจะเน้นไปที่ความถูกต้องและหลักภาษา ทำให้หลายคนยึดติดและกลัวพูดผิดไปแล้วจะถูกคนอื่นมองว่าไม่เก่งภาษาอังกฤษ รวมถึงกลัวถูกซ้ำเติมจากเพื่อนและคุณครูด้วย หลายคนจึงไม่มีความกล้ามากพอที่จะใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสารกับคนอื่น
5 วิธีเปลี่ยนให้พูดภาษาอังกฤษได้จริง ที่บางคนอาจไม่เคยรู้มาก่อน
เมื่อรู้แล้วว่าอะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้ไม่สามารถสื่อสารภาษาอังกฤษได้ คำถามต่อมาคือ แล้วจะทำอย่างไรให้เรียนรู้ภาษาอังกฤษมาแล้วสามารถนำไปใช้สื่อสารได้ในชีวิตจริง?
เราได้เห็นรูปแบบการเรียนภาษาอังกฤษแบบหนึ่งที่น่าสนใจมากๆ ที่ได้นำปัญหาการเรียนภาษาอังกฤษของคนไทยมาปรับเปลี่ยนเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งเราได้สัมภาษณ์ผู้ที่อยู่เบื้องหลังของแนวคิดนี้ กับทีมคุณครูจาก Inspire English ซึ่งเขาได้อธิบายการเรียนรู้รูปแบบใหม่ ที่จะทำให้สื่อสารภาษาอังกฤษได้จริง ไว้ 5 ข้อดังนี้
1. เปลี่ยนการเรียนแบบท่องจำเป็นการใช้จริง
สำหรับการเรียนภาษาแล้ว หากเราเรียนแบบท่องจำเพื่อนำไปสอบแบบเดิมๆ จะทำให้เราเกิดกำแพงที่ทำให้ไม่สามารถพูดได้ เปรียบเทียบง่ายๆ ก็เหมือนกับการขี่จักรยาน หากเรามัวแต่นั่งท่องวิธีการขี่ แต่ไม่ได้ขี่จริงและลองล้มดูจริงๆ เราก็จะไม่มีวันขี่เป็น
ภาษาอังกฤษก็เช่นกัน หากเรามัวแต่ท่องแกรมมา แต่ไม่ได้มีการฝึกพูดบ่อยๆ เราก็จะไม่สามารถพูดได้ ดังนั้นเราจึงต้องเปลี่ยนการเรียนรู้แบบเดิมๆ ให้เป็นการได้พูดจริง และได้โต้ตอบกับคนอื่นจริงๆ สุดท้ายแล้วเราถึงจะสามารถทลายกำแพงนั้นลงได้
2. มองว่าหัวใจของภาษาคือการสื่อสาร
ใครที่กำลังมีความคิดว่า “ถ้าพูดผิดออกไปจะต้องมีคนว่าแน่ๆ เลย” ให้เริ่มปรับเปลี่ยนความคิดและหันมาพูดกับตัวเองในเชิงบวก เพื่อเสริมความมั่นใจให้กับตัวเอง เช่น ให้เปลี่ยนมาบอกตัวเองว่า “ถ้าเราฝึกพูดเรื่อยๆ แม้จะพูดผิดไปบ้างก็ไม่เป็นไร เพราะความกล้าที่จะพูด จะทำให้เรามีประสบการณ์มากขึ้นเรื่อยๆ”
ลองนึกย้อนกลับไปว่า ตอนเราเป็นเด็ก 2-3 ขวบ เราอ่านหนังสือไม่ออก รวมถึงไม่รู้จักแม้กระทั่งคำศัพท์หรือไวยากรณ์ใดๆ เลย แต่ตอนนั้นเรากล้าที่จะพูดคุยกับพ่อแม่ สุดท้ายแล้วเมื่อโตขึ้นเราจึงสามารถพูดภาษาแม่ของเราได้ เพราะฉะนั้นกุญแจสำคัญของการเรียนภาษาใหม่ก็เหมือนกับภาษาแรกที่เราเรียน นั่นก็คือ “ความกล้า” เพียงแค่เรากล้าพูด กล้าสื่อสารออกไป ก็ถือว่าเราได้เริ่มไปหนึ่งก้าวแล้ว
3. ตั้งเป้าหมายการเรียนรู้ให้ชัดเจน
บางคนอยากเก่งภาษาอังกฤษ แต่ไม่ยอมเริ่มฝึกฝน เพราะคิดว่าตอนนี้ยังไม่ใช้ ยังไม่ต้องรีบเรียนก็ได้ แต่ในความเป็นจริงแล้ว หากใครเริ่มก่อนก็จะถือว่าได้เปรียบมากกว่า เช่น ถ้าเราฝึกพูดตั้งแต่ตอนอยู่มหาวิทยาลัย หลังเรียนจบเราก็จะได้เปรียบในการหางาน
ฉะนั้น สิ่งที่ควรทำก็คือ “ตั้งเป้าหมายการเรียนรู้ให้ชัดเจน” โดยการนำหลักการ SMART เข้ามาช่วย เพื่อให้ตั้งเป้าหมายได้อย่างเฉพาะเจาะจงและมีกรอบระยะเวลาที่แน่นอนมากขึ้น เช่น หากมีเป้าหมายว่าอยากพูดภาษาอังกฤษให้ได้เพื่อจะไปใช้ชีวิตอยู่ต่างประเทศ ก็ให้ตั้งเป้าหมายแบบ SMART ว่า ภายใน 3 เดือน เราจะเรียนภาษาอย่างน้อยวันละ 1 ชั่วโมงและพูดประโยคใหม่ให้ได้วันละ 1 ประโยค ในระหว่างนี้เราจะอัดวิดีโอการพูดของตัวเองไว้ทุกเดือน เพื่อนำมาเปรียบเทียบพัฒนาการตัวเองว่าเราพัฒนาขึ้นจริงหรือไม่
4. เปลี่ยนการเรียนจาก “เน้นผู้สอนเป็นหลัก” เป็น “เน้นผู้เรียนเป็นหลัก”
โดยปกติแล้วเมื่อเรียนที่โรงเรียนเราจะคุ้นเคยกับการเรียนที่คุณครูสอนผู้เรียนทั้งห้องด้วยเนื้อหาเดียวกันและบทเรียนเดียวกัน ซึ่งการเรียนแบบนี้ไม่ได้มุ่งเน้นไปที่ความต้องการของผู้เรียนแต่ละคน เราเรียกการเรียนแบบนี้ว่า Teacher-Centered Approach หรือการเรียนแบบเน้นผู้สอนเป็นหลัก
แต่การเรียนจะง่ายขึ้นถ้าเราได้เริ่มเรียนจากสิ่งที่เหมาะกับการใช้งานของเรา ดังนั้นเราจึงควรเรียนด้วยรูปแบบ Learner-Centered Approach หรือการเรียนแบบเน้นผู้เรียนเป็นหลัก ตามความสนใจและเป้าหมายของเรา เพราะการเรียนภาษาอังกฤษไม่ใช่การเรียนในสิ่งที่ครูอยากสอน แต่ต้องเรียนในสิ่งที่เราอยากเรียนจริงๆ รวมถึงต้องมีการปรับให้เหมาะกับพื้นฐานความถนัดและความสามารถของเราด้วย การเรียนรู้ถึงจะมีประสิทธิภาพและทำให้เราเข้าใจสิ่งที่เรียนจริงๆ
5. เปลี่ยนทุกที่ให้เป็นสนามฝึก
บางคนมองว่าตัวเองไม่มีเวลามากพอที่จะฝึกภาษา แต่จริงๆ แล้วเราสามารถฝึกได้ทุกที่ ไม่ว่าจะเป็นที่ทำงาน ที่บ้าน หรือแม้แต่ที่ท่องเที่ยว เราสามารถสร้างทุกพื้นที่ให้เป็นสนามฝึกของเราได้ในทุกๆ วัน เชื่อว่าถ้าเราเรียนรู้จากสิ่งรอบตัวไปเรื่อยๆ การเรียนภาษาอังกฤษจะทำให้เราสนุกขึ้นและพัฒนาขึ้นได้อย่างรวดเร็วจนเราไม่รู้ตัวอย่างแน่นอน
มาเปลี่ยนวิธีการเรียน และท้าทายตัวเองไปด้วยกัน
ทั้งหมดที่กล่าวมานี้ก็คือ 5 วิธีการเรียนรู้รูปแบบใหม่ที่ได้มาจากแคมเปญ Challenge Me ที่จะเปลี่ยนคลาสเรียนจากการท่องจำเป็นการใช้จริง เปลี่ยนทุกที่ให้เป็นสนามฝึกภาษา เปลี่ยนจากความกลัวเป็นความกล้า ชวนทุกคนให้มาพัฒนาและพูดภาษาอังกฤษได้ใน 3 เดือน พร้อมโอกาสไปใช้ภาษาอังกฤษที่ต่างประเทศฟรี
สำหรับใครที่สนใจอยากมาเปลี่ยนตัวเอง แคมเปญ CHALLENGE ME 5 (Learning without boundaries – การเรียนรู้ไร้ขอบเขต) เปิดรับสมัครแล้วตั้งแต่วันนี้ ถึง มีนาคม 2023
สามารถดูรายละเอียดแคมเปญและติดตามคอนเทนต์การสอนภาษาอังกฤษสนุกๆ เพิ่มเติมได้ที่
[ ] Facebook : https://www.facebook.com/Inspire.English.Learning
[ ] Instagram : https://instagram.com/inspire.english
Mission To The Moon X Inspire English
#missiontothemoon
#missiontothemoonpodcast