- หนังสือ The Art of Thinking Clearly 1-2 เขียนโดย Rolf Dobelli ทั้งสองเล่มนี้จะช่วยให้เราเข้าในกระบวนการในการคิด วิเคราะห์ สิ่งต่างๆ ของสมองมากยิ่งขึ้นครับ
The Art of Thinking Clearly เล่น 1 ชื่อไทยว่า: 52 วิธีคิดให้ได้อย่างเฉียบคม ส่วนเล่ม 2 ชื่อไทยว่า 52 วิธี ตัดสินใจไม่ให้พลาด เขียนโดย Rolf Dobelli
ทั้งสองเล่มนี้เป็นหนังสือที่ช่วยให้เราเข้าใจกระบวนการของสมองในการคิดมากยิ่งขึ้นครับ ผมขอเลือกบทที่ผมชอบๆ มารีวิวดูครับ
Will Rogers Phenomenon
ลองพิจารณาตัวอย่างนี้ดูครับ
สมมติว่าคุณต้องดูแลสำนักงานขายรถยนต์สองแห่ง โดยมีพนักงานขาย 1, 2, 3 อยู่ในสาขาที่ 1 และพนักงานขาย 4, 5, 6 อยู่ในสาขาที่สอง โดยแต่ละคนขายรถได้ตามหมายเลขของตัวเองเลยคือ
- พนักงานขายหมายเลข 1 ขายได้ 1 คัน
- พนักงานขายหมายเลข 2 ขายได้ 2 คัน
- พนักงานขายหมายเลข 3 ขายได้ 3 คัน
- พนักงานขายหมายเลข 6 ขายได้ 6 คัน
โดยยอดขายของแต่ละคนนั้นขึ้นอยู่กับความสามารถส่วนบุคคลไม่ได้เกี่ยวข้องกับที่ตั้งของสาขาแต่อย่างใด แบบนี้เป็นต้น ซึ่งหมายความว่าสาขาแรก พนักงานขาย ขายได้เฉลี่ย 2 คันต่อคน ส่วนสาขาที่สองขายได้เฉลี่ย 5 คันต่อคน
ถ้าคุณได้รับคำสั่งมาให้เพื่มยอดขายต่อคนให้ได้ คุณจะทำยังไงครับ
คำตอบง่ายมากครับ แค่ย้ายพนักงานหมายเลข 4 มาสาขาแรก
สาขาแรกยอดขาดต่อคนก็จะเพิ่มขึ้นเป็น 2.5 คัน
ส่วนสาขาที่สอง ยอดขายต่อคนก็เพิ่มเช่นกันเป็น 5.5 คัน
ทั้งหมดนี้ไม่ได้สร้างความเปลี่ยนแปลงอะไรเลยให้กับบริษัท แต่ถ้าคนดูข้อมูลไม่ละเอียด อาจตกหลุมพรางนี้ได้
ลองมาดูอีกตัวอย่างครับ
ผู้จัดการกองทุนมีกองทุนให้จัดการสามกองทุนได้แก่ A, B, C โดย A มีผลตอบแทนเยี่ยมมาก ส่วน B ก็กลางๆ ส่วน C นั้นผลตอบแทนแย่
ทำยังไงจะทำให้ผลตอบแทนของแต่ละกองทุนดีขึ้น
เลือกหุ้นบางส่วนของกองทุน A ที่ฉุดผลตอบแทนโดยเฉลี่ยของกองทุน A แต่ได้ผลตอบแทนที่ดีพอ ที่จะทำให้ค่าเฉลี่ยของกองทุน B และ C สูงขึ้นได้
เพียงเท่านี้ค่าเฉลี่ยของทั้งสามกองทุนก็จะดีขึ้นเลย ทั้งที่จริงๆ แล้วกองทุนทั้งสามไม่ได้ให้ผลตอบแทนมากขึ้นซักนิดเดียว
Sunk Cost Fallacy
เวลาเราตัดสินใจขายหุ้น เรามักอ้างอิงจากราคาที่ซื้อมา โดยจะขายก็ต่อเมื่อราคาสูงกว่าที่ซื้อมาซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เราเห็นอาการ “ติดดอย” อยู่บ่อย ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้วการตัดสินใจจะซื้อเพิ่มหรือจะขายนั้นไม่ได้เกี่ยวอะไรกับ “ราคาที่เราซื้อมา” เพราะเราต้องดูอนาคตของหุ้นตัวนั้นต่างหาก
สิ่งที่น่าสนใจคือยิ่งขาดทุนเท่าไร เรายิ่งมีแนวโน้มที่จะเก็บหุ้นตัวนั้นไว้มากขึ้น
นี่คือเราตกเป็นเหยื่อของ “sunk cost fallacy” เข้าให้แล้ว ซึ่งเป็นกับดักทางการเงินที่รุนแรงมาก
มีตัวอย่างเรื่องแบบนี้มากมายตั้งแต่เรื่องใหญ่ๆ จนถึงเรื่องเล็กๆ เช่น
- การพัฒนาเครื่องบิน คองคอร์ด (concorde) ที่เป็นการทำงานร่วมกันระหว่างอังกฤษกับฝรั่งเศส ซึ่งรู้อยู่ตั้งนานแล้วว่าทำยังไงก็ไม่รอด แต่ก็ยังทุ่มเงินพัฒนาลงไป เพียงเพราะว่า “เราลงเงินมาตั้งเยอะแล้ว”
- สงครามเวียดนามที่มีแนวโน้มว่าจะแพ้ตั้งนานแล้ว แต่เราเสียทหารไปตั้งเยอะแล้วจะยอมตอนนี้ได้ยังไง
- แคมเปญโฆษณาที่ดูแล้วไม่น่าจะไปต่อไป แต่เราลงทุนไปตั้งเยอะแล้ว เพิ่มอีกหน่อยละกัน
- หนังสือที่อ่านไปก็รู้ว่าห่วย แต่ขออ่านให้จบละกันเพราะอ่านมาตั้งครึ่งเล่มแล้ว
- ดูหนังที่ดูสักพักก็รู้อยู่แล้วว่าไม่สนุก แต่ทนดูจนจบ เพราะจ่ายค่าตั๋วมาแล้ว ทั้งๆ ที่ จริงๆ ค่าตั๋วไม่ควรเป็นเหตุผลด้วยซ้ำเพราะในความเป็นจริงเราเอาเงินคืนมาไม่ได้อยู่แล้ว แต่ถ้าไม่ดูต่อคุณจะประหยัดเวลาชีวิตไปได้
เพราะฉะนั้นต่อไปนี้ให้ระวังคำว่า “เรามาตั้งไกลแล้ว ต้องไปต่อซิ” ไว้ให้ดีครับ
Contrast Effect
ตอนเด็กๆ เคยเล่นมือจุ่มน้ำอุ่นน้ำเย็นไหมครับ
เทน้ำอุ่นใส่ถึงใบแรก เทน้ำเย็นจัดๆ ใส่ถังใบที่สอง
จุ่มมือขวาในถังน้ำเย็นแล้วแช่ไว้หนึ่งนาที
จากนั้นจุ่มมือทั้งสองไปในถังน้ำอุ่น
คุณจะรู้สึกว่ามือซ้ายอุ่นสบาย แต่มือขวาร้อนจี๋
นี่คือสิ่งที่เราเรียกว่า Contrast Effect ครับ
มันเคยมีการทดลองเรื่องนี้ครับ โดยพบว่าคนเราจะยอมเดินเพิ่มอีก 10 นาที เพื่อซื้ออาหารที่ราคาถูกลง 10 เหรียญ จากราคาเต็ม 50 เหรียญ แต่เราจะไม่ยอมเดินอีก 10 นาทีเพื่อซื้อเสื้อที่ถูกลง 10 เหรียญจากเสื้อราคาเต็ม 1000 เหรียญ
ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าแปลกใจมากเพราะมันเป็นการประหยัดเงิน 10 เหรียญเท่ากัน
เหมือนกับเวลาเราบอกว่าหุ้นตัวนี้ตอนนี้ “ราคาถูก” เพราะมันราคาแค่ 5 บาท ลดจากจุดสูงสุดที่ 15 บาท ลงมาตั้งเยอะมาก แต่ในความเป็นจริงหากดูจากราคาตอนนี้ เราไม่มีทางรู้ได้ว่าเลยหุ้นตัวนี้ “ถูก” หรือ “แพง” เพราะที่จริงแล้วมันขึ้นอยู่กับอนาคตต่างหากว่ามันจะขึ้นหรือลง
เวลามันมาในรูปแบบที่เห็นง่ายเราอาจจะรู้ตัวเช่น เสื้อผ้าลดราคา หรือ ของที่ซื้อตามทีวี ที่ลดจาก 10,000 เหลือ 999 แต่เดี๋ยวก่อน ถ้าซื้อตอนนี้ แถมไปเลยอีกหนึ่งชิ้น (อันนี้เราเรียกว่า fake original price)
แต่ถ้ามันมาในรูปแบบที่ซ้บซ้อนมากยิ่งขึ้นเช่น โอกาสในการลงทุน บางทีเราอาจมองข้ามเรื่องนี้ไปได้เฉยๆ
Simple Logic – สัญชาติญาณหลอกคุณ
ลองมาตอบคำถามง่ายๆ สามข้อกันครับ
- ถ้าเครื่องจักร 5 เครื่องของโรงทอผ้า สามารถผลิตเสื้อเชิ้ต 5 ตัวได้ภายใน 5 นาที แล้วเครื่องจัก 100 ตัว จะใช้เวลากี่นาทีในการผลิตเสื้ตเชิ้ต 100 ตัว
- ถ้าดอกบัวในสระน้ำ เพิ่มจำนวนขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยกินเนื้อที่ในสระเพิ่มขึ้นวันละ 2 เท่า และใช้เวลา 48 วัน ดอกบัวจะขึ้นเต็มสระ คำถามคือต้องใช้เวลากี่วันดอกบัวถึงจะกินพื้นที่ไปครึ่งสระ
- ไม้ปิงปองและลูกปิงปองราคา 1.1 เหรียญ ไม้ปิงปองแพงกว่าลูกปิงปอง 1 เหรียญ ลูกปิงปองราคาเท่าไร
ถ้าเราใช้สัญชาติญาณหรือสิ่งที่เรียกว่า “สมองส่วนอัตโนมัติ” ในการตอบ คนส่วนใหญ่มักตอบว่า 100 นาที 24 วัน และ 0.1 เหรียญ ตามลำดับ
แต่คำตอบที่ถูกต้องคือ 5 นาที 47 วัน และ 0.05 เหรียญ
ลองหยิบเครื่องคิดเลขของคุณมาเช็คได้ครับ
เราถูกสัญชาติญาณหลอกๆง่ายกันแบบนี้เลยครับ
เอาใหม่
ถ้าคุณขับรถจากจุด A ไปจุด B ด้วยความเร็ว 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เดินทางกลับด้วยความเร็ว 50 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
ความเร็วโดยเฉลี่ยของการเดินทางคือเท่าไร
ตอบ 75 กิโลเมตรต่อชั่วโมงกันใช่ไหมครับ
มันถูกไหมนะ
คำตอบที่ถูกต้องคือ 66.66 กิโลเมตรต่อชั่วโมงครับ
การมองข้ามความเป็นไปได้ (Neglect of Probability)
มีเกมส์เสี่ยงโชคอยู่สองเกม เกมแรกมีรางวัลอยู่ที่ 10 ล้านเหรียญ ซึ่งจะเปลี่ยนชีวิตคุณเลย เกมที่สองรางวัลอยู่ที่ 100,000 เหรียญ
- ความเป็นไปได้ในการชนะเกมแรกอยู่ที่ 1 ใน 100 ล้าน
- ความเป็นไปได้ในการชนะเกมที่สองอยู่ที่ 1 ใน 10,000
คุณจะเลือกเล่นเกมส์ไหนครับ
ถ้าเป็นคนปกติจะเลือกเล่นเกมส์แรก แต่ถ้าหากพิจารณาจากสถิติแล้ว เกมที่สองมีโอกาสชนะมากกว่าถึง 10 เท่า
สรุปโดยง่ายเลยก็คือว่า ไม่ว่าจะมีโอกาสชนะมากน้อยแค่ไหน คนเรามักจะเลือกเล่นเกมส์ที่มีรางวัลใหญ่กว่าเสมอ
การมองข้ามความเป็นไปได้เกิดขึ้นในหลายเหตุการณ์ครับ ถ้าเราไม่มองเรื่องนี้ เราจะลงทุนโดยมองที่ผลตอบแทนเป็นหลัก โดยลืมมองเรื่องความเสี่ยงไปครับ
เอาจริงๆ การประเมินความเสี่ยงเป็นเรื่องที่คนส่วนใหญ่แทบไม่ให้ความสำคัญเลย
อ่อ หน่วยงานที่ส่งรายได้ให้รัฐบาลมากที่สุดคือ กองสลาก ครับ ซึ่งมากกว่าอันดับสองคือ กฝผ ถึงเท่าตัวเลยทีเดียว
กฏว่าด้วยเรื่องจำนวนน้อย (The Law of Small Number)
สมมติว่าคุณเป็นผู้บริหารของร้านค้าปลีกที่มีสาขาถึง 1,000 สาขา และวันนี้เป็นการประชุมเรื่องเกี่ยวกับสินค้าถูกขโมยจากร้าน พอคุณดึงตัวเลขขึ้นมาคุณก็พบว่าสาขาที่มีขโมยมากที่สุด 100 สาขา มาจากชนบทท้ังสิ้น โดยดูจาก “ยอดของหาย ต่อ ยอดขาย”
แปลว่าเราควรจะติดกันขโมยเพิ่มในสาขาชนบทใช่หรือไม่
คำตอบคือไม่แน่ครับ
เพราะว่าถ้าเราดึง 100 สาขาที่มีการขโมยน้อยที่สุดมา ก็จะเป็น 100 สาขาที่อยู่ในชนบทเช่นกัน
ทำไมถึงเป็นแบบนั้น
เพราะว่าร้านค้าปลึกในชนบทนั้นเล็กกว่าในเมืองมาก การที่ของหายหนึ่งชิ้นจึงส่งผลต่อตัวเลขมากกว่าเยอะ และในทางกลับกันก็เป็นจริงเช่นเดียวกัน
นี่คือสิ่งที่เรียกว่ากฏว่าด้วยจำนวนน้อย หรือ the law of small number ครับ
ดังนั้นเวลามีสถิติทำนองนี้มาต้องระวังถูกหลอกด้วยกฏว่าด้วยจำนวนน้อยนะครับ