- ในชีวิตจริง การวางแผนทำอะไรสักอย่างแล้วทำมันจริงๆเป็นสิ่งที่ยากมาก แต่ถ้าไม่ต้องวางแผนอะไรมาก พลังงานจะถูกโฟกัสมาที่การลงมือทำมากขึ้น
- การสร้าง routine ให้ชีวิต จะสร้างนิสัยให้สมองเรามีพื้นที่เหลือในการเอาไปคิดและสร้างสรรค์สิ่งที่ยากและใช้พลังมากกว่า
คำว่า routine (งานที่ทำซ้ำๆเป็นกิจวัตร) แค่ฟังก็น่าเบื่อสุดๆ แล้วใช่ไหมครับ ในชีวิตคุณคงเคยเจอคนประเภทที่ตั้งเป้าหมายอะไรก็ทำสำเร็จตลอดเวลาใช่ไหมครับ คุณเคยสงสัยไหมครับว่าความลับของพวกเขาคืออะไร?
คริสตี้ มิมส์ ได้เขียนเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้อย่างน่าสนใจมาก โดย คริสตี้ บอกว่า เธอได้สังเกตพฤติกรรมของนักกีฬาอาชีพแล้วได้เห็นอะไรบางอย่างที่น่าสนใจ
นักกีฬามืออาชีพ
นักกีฬาอาชีพทำอะไรนอกจากตอนที่เราเห็นพวกเขาลงแข่งขันแล้ว พวกเขาทำอะไรกันบ้างครับ? พวกเขาซ้อมอย่างหนัก พวกเขาเข้มงวด พวกเขากินอาหารเหมือนๆ เดิม หลายคนมีพิธีกรรมแบบไสยศาสตร์นิดๆที่ทำก่อนการแข่งขันใหญ่เสมอ เช่นต้องใส่เสื้อตัวเก่งไว้ข้างในก่อนใส่เสื้อทีมอยู่ข้างนอกอีกที
ไม่ว่าจะเป็นกีฬาอะไรก็แล้วแต่ ถ้าคุณได้ศึกษาเกี่ยวกับพวกเขาตอนเตรียมตัวก่อนแข่งจะพบว่าสิ่งที่พวกเขาทำจะไม่ได้แตกต่างกันมากนัก ทั้งหมดทั้งปวงนี้สรุปมาได้เป็นคำเดียวเลยครับว่า “routine”
นักกีฬาน่าจะเป็นกลุ่มคนที่มีการใช้ชีวิตเป็น routine ที่สุดแล้ว โดยเฉพาะถ้าอยู่ในฤดูกาลแข่งขัน การที่พวกเขาใช้ชีวิตเป็น routine นี่เองทำให้พวกเขามีสมาธิ มีความพร้อมทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจสำหรับการแข่งขัน พวกเขาเชื่อมั่นใน routine ครับ
นักว่ายน้ำ 18 เหรียญทอง
บ็อบ โบว์แมน โค้ขของสุดยอดนักว่ายน้ำเจ้าของเหรียญทองโอลิมปิก 18 เหรียญอย่าง ไมเคิล เฟ็ลปส์ บอกไว้ว่า “มุ่งไปที่กระบวนการ ไม่ใช่ผลลัพธ์” ถ้าคุณเชื่อในพลังของการทำสิ่งที่คุณทำอยู่ทุกวัน แล้วตอนลงสนามทุกอย่างจะเป็นไปอย่างอัตโนมัติ อย่างในกรณีของ ไมเคิล เฟ็ลปส์ เขาซ้อม 365 วันต่อปี ติดต่อกัน 6 ปี เพื่อเตรียมการสำหรับโอลิมปิคปี 2004
อีกหนึ่ง routine ที่น่าสนใจมากของ ไมเคิล เฟ็ลปส์ คือการทำ การซักซ้อมในจินตนาการ (mental rehearsal) หรือการจิตนการภาพความสำเร็จใจหัวก่อนที่จะลงสนามจริง
บ็อบ โบว์แมน บอกว่า ไมเคิล เฟ็ลปส์ จะทำ การซักซ้อมในจินตนาการ สองชั่วโมงทุกวันในสระ เขาจะเห็นตัวเองคว้าชัยชนะมาได้ เขาจะได้กลิ่นอากาศรอบตัว สัมผัสได้ถึงการเคลื่อนไหวของน้ำ ได้ยินเสียง และมองเห็นเวลาที่เขาจะทำได้จากนาฬิกาจับเวลาริมสระ
โค้ช บ็อบ ยังบอกต่ออีกว่า สมองของคนเราไม่สามารถแบ่งแยกระหว่างจินตนาการที่ชัดเจนมากๆ (vividly imagined) กับความจริงได้ ดังนั้น ถ้าเราสามารถสร้างจินตนาการในหัวที่แข็งแรงทรงพลังมากๆได้ สมองเราจะหาทางทำให้มันเกิดขึ้นได้จนได้
ทำไม routine ถึงช่วยเราได้?
เพราะในชีวิตจริงนั้นมันเป็นเรื่องที่ยากมากที่จะวางแผนอะไรบางอย่างแล้วทำมัน จริงๆ นะครับถ้าเรามาลองคิดดูมันยากจริงๆ
แค่การวางแผนอะไรธรรมดาๆ สักอย่างนึง เราต้องใช้พลังงานสมองไปเยอะ พอใข้พลังงานสมองไปเยอะ เราก็เหลือพลังงานในการลงมือทำน้อยลง แต่ถ้าคุณไม่ต้องวางแผนอะไรมาก พลังงานของคุณจะถูก โฟกัส มาในการลงมือทำทั้งหมด
ฟังดูแล้วยังทะแม่งๆชอบกลใช่ไหมครับ
งั้นผมลองเล่าตัวอย่างของผมให้ฟัง ช่วงที่ผมเขียนหนังสือเล่มแรก มีช่วงเวลาที่ผมสับสน เขียนไม่ได้เลย ท้อแท้สุดๆ จนเกือบจะโทรไปบอก บก. แล้วว่าจะไม่ออกหนังสือแล้ว
จนกระทั่งวันนึงผมก็ตัดสินใจสร้าง routine ให้กับตัวเองขึ้นมา ในคืนช่วงสุดสัปดาห์ผมต้องเขียนอะไรก็ได้ออกมาให้ได้ 1 บท พอคิดได้แค่นั้น ความกลัว ความสับสน ก็เริ่มหายไป
ผมเริ่มไม่คิดถึงหนังสือทั้งเล่ม แค่คิดว่าสัปดาห์นี้ต้องเขียนหนังสือให้ได้แค่บทเดียวก็พอแล้ว จะดีไม่ได้ยังไงขอให้เขียนจบบทพอ หน้าที่ของผมมีแค่นั้นจริงๆ เขียนอะไรก็ได้สัปดาห์ละบท
ในที่สุดหนังสือผมก็เสร็จ และผมก็ใช้วิธีเดียวกันนี้กับหนังสือเล่ม 2,3,4 และเล่มที่ 5 ที่กำลังจะออกนี้เช่นเดียวกัน
นี่เป็นเพียงตัวอย่างเล็กๆ ครับ แต่คุณก็สามารถเอาไปปรับใช้ได้เช่นกัน
มันง่ายมากครับ แค่เขียนว่าเป้าหมายของคุณคืออะไร เสร็จแล้วค่อยๆ แตกมันออกมาเป็นงานที่ต้องทำเพื่อให้เป้าหมายนั้นสำเร็จ งานที่ว่านี้ต้องเป็นรูปธรรมที่ทำได้โดยไม่ต้องตีความอะไรมาก เช่น นั่งสมาธิวันละ 1 ชั่วโมง อ่านหนังสือวันละ 1 ชั่วโมง ฯลฯ เสร็จแล้วใส่ในลงไปในปฏิทินของคุณเลยครับ เมื่อถึงเวลาที่ต้องทำ ก็ทำไม่ต้องคิดอะไรมาก
เมื่อคุณใช้ชีวิตอย่างมี routine แล้ว สมองของคุณจะได้มีพื้นที่เหลือในการเอาไปคิดสิ่งที่เราเรียกว่า critical thinking (การคิดเชิงวิพากษ์ ) ที่ยากและใช้พลังงานเยอะ ๆ
เหมือนที่หลายคนบอกว่านี่อาจจะเป็นสาเหตุจริงๆที่ทำให้ มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก แต่งตัวเหมือนกันทุกวันก็ได้ครับ 🙂