เมื่อพูดถึงคำว่า “โดดเดี่ยว” แวบแรกที่นึกขึ้นมา เราอาจนึกถึงตายายที่มีลูกหลานอยู่ห่างไกลบ้าน หรือคนธรรมดาทั่วไปที่ไม่ค่อยได้มีโอกาสไปสังสรรค์กับใครมากนัก แต่ในความเป็นจริงแล้ว ยังมีคนอีกกลุ่มหนึ่งที่ทั้งรู้สึกเหงาและโดดเดี่ยวอย่างไม่น่าเชื่อ นั่นคือคนที่อยู่ในตำแหน่ง “ผู้นำ”
หลายคนมองว่าผู้นำนั้นรู้จักคนมากหน้าหลายตา มีคนติดสอยห้อยตามเยอะ ท่ามกลางสังคมที่มีคนห้อมล้อมขนาดนั้น คงไม่มีวันรู้สึกเหงาหรือโดดเดี่ยว แต่เราก็ไม่อาจปฏิเสธได้จริงๆ ว่า การเป็นผู้นำนั้นมีราคาที่ต้องจ่าย
มาสำรวจไปพร้อมๆ กันว่า เพราะเหตุใดคนที่เป็นผู้นำถึงรู้สึกโดดเดี่ยวท่ามกลางผู้คนมากมาย แล้วเขาเหล่านั้นจะสลายความเดียวดายในใจอย่างไรดี
ภาพลวงตาแห่งความสำเร็จ
หลายครั้งที่คนภายนอกมักมองว่า “ผู้นำ” นั้นมีทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นชื่อเสียง เงินทอง และคำชื่นชมต่างๆ มากมาย ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่หลายคนมองว่ามันคือจุดสูงสุดของชีวิต ผู้นำเป็นคนที่มีทุกอย่างที่หลายคนไม่อาจเอื้อมถึงได้ ดังนั้นชีวิตของผู้นำก็คงจะเคลือบไปด้วยทั้งความสำเร็จและความสุขอย่างแน่นอน
แต่ใครจะรู้ว่าความสำเร็จที่ทุกคนเห็นนั้น เบื้องหลังมีอะไรมากมายที่เราที่เป็นคนนอกอาจไม่เคยรู้และไม่เคยสัมผัส ท่ามกลางภาพอันสวยงามที่เราเห็น เบื้องหลังผู้นำเหล่านั้นต้องเผชิญกับความกดดันที่ต้องทำตามความคาดหวังของตัวเองและสังคม แถมยังจะต้องรักษาภาพลักษณ์ให้ดีอยู่ตลอดเวลา และบางครั้งก็ต้องเสียสละตนเองด้วย
โดยการเสียสละในที่นี้อาจเป็นในเรื่องของเวลา ที่ต้องทำงานหนักกว่าคนอื่นอย่างเลี่ยงไม่ได้ เพราะธุรกิจรายล้อมไปด้วยคู่แข่งมากมาย ดังนั้นตัวเองจึงไม่สามารถหยุดนิ่งได้ ไม่เช่นนั้นคนอื่นคงจะแซงหน้าในไม่ช้า
อย่างไรก็ดี ด้วยความกดดันและหน้าที่ความรับผิดชอบทั้งหลายเหล่านี้ ทำให้ผู้นำหลายคนเจอกับอุปสรรคในการสานสัมพันธ์ หลายคนมองว่าผู้นำเข้าถึงยาก หลายคนมองว่าเขาคงไม่ค่อยมีเวลามาเฮฮาปาร์ตี้ด้วยกัน ผู้นำเหล่านั้นจึงไม่สามารถสร้างความสัมพันธ์ที่ “แท้จริง” ได้ ส่วนใหญ่มีเพียงแค่ความสัมพันธ์เชิงธุรกิจ หรือที่ใครหลายๆ คนเรียกว่า ความสัมพันธ์แบบ “ฉาบฉวย” เพียงเท่านั้น
ดังนั้น หากถามว่าทำไมผู้นำบางคนถึงรู้สึกโดดเดี่ยวท่ามกลางผู้คนมากมาย นั่นก็คงเป็นเพราะผู้นำนั้นถูกเคลือบไปด้วยภาพลวงตาแห่งความสำเร็จนั่นเอง
ความมีอำนาจทำให้ขาดความไว้วางใจ
ในโลกของการทำงานนั้น เป็นโลกที่เต็มไปด้วยการแข่งขัน ไม่เว้นแม้แต่การแข่งขันระหว่างเพื่อนร่วมงานกับเพื่อนร่วมงานด้วยกันเอง ซึ่งด้วยลักษณะเช่นนี้ทำให้บั่นทอนความไว้วางใจและความใกล้ชิดทางอารมณ์ซึ่งกันและกัน
พนักงานบางคนจึงมองว่าคนที่ประสบความสำเร็จนั้นเป็นภัยคุกคามต่ออาชีพการงานของตัวเอง เช่น กลัวว่าถ้าทำอะไรผิดต่อหน้าแล้วจะมีปัญหาเกิดขึ้น จึงไม่กล้าเข้าหาผู้มีอำนาจ
ในขณะที่ผู้นำบางคนเอง ก็ไม่ไว้วางใจพนักงานหรือเพื่อนร่วมงาน เพราะกลัวว่าคนเหล่านั้นจะเข้าหาตัวเองเพราะหวังผลประโยชน์บางอย่าง เช่น เงิน อำนาจ หรืออิทธิพล อีกทั้งยังต้องเผชิญกับคำชมและคำวิจารณ์จากลูกน้องหรือคนอื่นๆ ทุกวัน นี่จึงเป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้ผู้นำเริ่มรู้สึกโดดเดี่ยวขึ้นเรื่อยๆ
ความสำเร็จที่มาพร้อมความรับผิดชอบ
เป็นที่แน่นอนอยู่แล้วว่าทุกคนต่างก็มีหน้าที่ความรับผิดชอบเป็นของตัวเอง แต่คนที่เป็นผู้นำนั้นจะมีความรับผิดชอบที่เพิ่มขึ้นและหนักขึ้น ซึ่งภาระดังกล่าวนี้จะทำให้ผู้นำรู้สึกโดดเดี่ยวเพิ่มขึ้นไปอีก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีสถานการณ์ที่ผิดปกติเกิดขึ้น แล้วต้องทำการตัดสินใจเรื่องสำคัญๆ เพราะทุกอย่างนั้นขึ้นอยู่กับตนเอง หากตัดสินใจพลาดก็จะยิ่งทำให้รู้สึกแย่กับตัวเองไปอีกขั้น
คนที่ประสบความสำเร็จหรือคนที่เป็นผู้นำจึงต้องมีความมั่นใจ สามารถตัดสินใจอะไรได้อย่างเฉียบขาด อีกทั้งยังต้องเอาชนะความสงสัยและไม่แน่ใจในความสามารถของตัวเอง (Self-Doubt) เมื่อตัวเองทำพลาดอีกด้วย
เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วบางคนจึงเลือกซ่อนอารมณ์และความรู้สึกของตัวเองเอาไว้ ซึ่งแน่นอนว่ามันเป็นการทำให้ผู้นำไม่สามารถสร้างความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับใครได้ เพราะไม่อยากให้พนักงานหรือคนอื่นๆ มองว่าตัวเองอ่อนแอและไม่อยากให้พนักงานสูญเสียความมั่นใจที่มีต่อตัวเอง
ให้ความสำคัญกับงานมากกว่าคนสำคัญ
กว่าผู้นำทุกคนจะมายืนบนยอดพีระมิดได้ ก็เรียกได้ว่าต้องเสียทั้งแรงกาย แรงใจ และเวลาที่มีค่ามากมาย เพราะการจะปีนบันไดไปสู่จุดที่เรียกว่า “ความสำเร็จ” ได้นั้นต้องใช้เวลา ความมุ่งมั่น และพลังงานด้านอารมณ์เป็นอย่างมาก
เมื่อต้องทุ่มเทแรงกายและแรงใจให้กับการทำงานแล้ว ผู้นำบางคนก็อาจหลงลืมคนสำคัญรอบข้างไป ไม่ว่าจะเป็นคนรัก ลูกๆ หรือเพื่อนฝูง จนทำให้ความสัมพันธ์ค่อยๆ เลือนรางจางหายและห่างกันไปในท้ายที่สุด
แล้วเมื่อถึงวันที่ประสบความสำเร็จแล้ว พอมองกลับมา คนสำคัญเหล่านั้นก็อาจไม่อยู่ตรงนั้นแล้วก็เป็นได้ เนื่องจากให้ความสำคัญแต่กับงาน จนละเลยความสำคัญของคนตรงหน้าไป พอเป็นเช่นนี้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกหากวันใดวันหนึ่งผู้นำบางคนจะรู้สึกโดดเดี่ยวขึ้นมา
รับมือกับความเหงาไม่ได้จนทำให้เดียวดายกว่าเดิม
เมื่อเผชิญกับความเหงาและความโดดเดี่ยวเดียวดาย แน่นอนว่าเราก็คงอยากจะขจัดมันออกไปจากใจ แต่บางคนนั้นอาจจะเรียกได้ว่าใช้วิธีรับมือผิดวิธี เช่น พอเหงาก็ทำงานหนัก เพราะการเลิกงานจะทำให้ตนเองเสียสมาธิและเกิดความรู้สึกอันน่าเจ็บปวดใจขึ้นมา จึงเลี่ยงความรู้สึกนั้นด้วยการทำงาน
บางคนก็พยายามทำงานให้ได้เงินเยอะๆ สะสมความมั่งคั่งของตัวเอง แล้วพยายามเติมเต็มช่องว่างในใจและความสัมพันธ์ด้วยเงินทองและของนอกกาย หรือบางคนก็อาจถึงขั้นใช้สารเสพติดเพื่อหลีกหนีออกจากความเป็นจริง
ไม่ว่าจะด้วยวิธีไหนก็ตามที่กล่าวมาข้างต้น ก็ต้องบอกว่ามันเป็นการแก้ปัญหาแบบฉาบฉวย สุดท้ายแล้วเราก็ไม่อาจหลีกหนีความโดดเดี่ยวในใจได้ด้วยวิธีเหล่านี้ อีกทั้งอาการยังอาจหนักกว่าเดิมก็เป็นได้
ความเดียวดายกับสุขภาพกายใจและประสิทธิภาพการทำงานที่แย่ลง
หากถามว่าความโดดเดี่ยวนั้นมีข้อเสียอย่างไร อย่างแรกนั้นคือมันส่งผลเสียต่อสุขภาพกายและใจของผู้นำเอง เช่น
[ ] ความเครียดเพิ่มขึ้น
[ ] ความจำและการเรียนรู้ลดลง
[ ] อาการซึมเศร้าและการฆ่าตัวตาย
[ ] ความสามารถในการตัดสินใจแย่ลง
[ ] มีโอกาสใช้แอลกอฮอล์และยาเสพติดในทางที่ผิด
นอกจากเรื่องของสุขภาพกายและใจแล้ว ยังมีงานวิจัยชี้อีกว่าความเหงานั้นสามารถส่งผลเสียต่อประสิทธิภาพการทำงานของผู้นำได้ เช่น ทำให้ขาดแรงจูงใจ ความพึงพอใจในงานลดลง รวมถึงประสิทธิภาพการทำงานเองก็ลดลงด้วยเช่นกัน
วิธีเอาชนะความเหงาและความโดดเดี่ยวในใจ
แม้จะอยู่ในตำแหน่งที่มีอำนาจ แต่ผู้นำก็ไม่อาจหลีกหนีความเหงาและความโดดเดี่ยวได้พ้น ซึ่งความโดดเดี่ยวนี้อาจนำไปสู่ภาวะหมดไฟ ความเครียด หรือแม้กระทั่งภาวะซึมเศร้าได้ ดังนั้นการกำจัดความรู้สึกนี้ออกจากใจจึงเป็นสิ่งที่ผู้นำทุกคนควรทำ
โดยสิ่งแรกที่ผู้นำทั้งหลายควรทำคือ กำจัดต้นตอของความเหงา ลองพิจารณาดูว่าอะไรเป็นสิ่งที่ทำให้เรารู้สึกโดดเดี่ยวกันแน่ เช่น
รู้สึกโดดเดี่ยวเพราะไม่ค่อยได้ใช้เวลากับเพื่อน? ก็หาเวลาออกไปกับสังสรรค์กับกลุ่มเพื่อนบ้างเป็นครั้งคราว
รู้สึกโดดเดี่ยวเพราะไม่สนิทกับคนในที่ทำงาน? ก็จัดกิจกรรมและทำกิจกรรมสนุกๆ ร่วมกับทีมงานบ่อยๆ
นอกจากกำจัดต้นตอของความเหงาแล้ว อีกวิธีที่จะช่วยให้รู้สึกโดดเดี่ยวน้อยลงคือ การสร้างความสัมพันธ์ที่มีความหมาย เพราะการมีคนข้างกายที่ไว้ใจได้ ย่อมดีกว่าการอยู่ตัวคนเดียว หากเรามีความสัมพันธ์ที่มีความหมายในชีวิต มันจะทำให้เรารู้สึกได้ว่ามีคนคอยยืนเคียงข้างในวันที่ดีและร้าย คอยสนับสนุนกันให้เดินไปในเส้นทางที่ดีๆ และคอยปลอบใจกันในวันที่เศร้า
ดังนั้น ให้ลองหาเวลาไปทำกิจกรรมร่วมกับคนอื่นๆ เช่น ทานอาหารกลางวัน ดื่มกาแฟ หรือนัดไปทำกิจกรรมข้างนอกอย่างเดินเล่น ตีแบด ปีนผา ปั่นจักรยาน และอื่นๆ การได้สานสัมพันธ์กับคนอื่น จะช่วยให้ได้รับมุมมองใหม่ๆ และช่วยให้เผชิญหน้ากับความเหงาได้ดียิ่งขึ้น
และสิ่งสุดท้ายที่ผู้นำควรทำเพื่อขจัดความโดดเดี่ยวคือ มองความผิดพลาดเป็นการเรียนรู้ หลายครั้งความโดดเดี่ยวของผู้นำมาจากการที่ต้องตัดสินใจอะไรด้วยตัวคนเดียว แล้วต้องแบกรับความผิดชอบจากการตัดสินใจนั้นไว้กับตัวเอง พอตัดสินใจพลาดก็จะรู้สึกแย่กับตัวเอง ดังนั้นให้ลองเปลี่ยนมุมมองดูว่าตัดสินใจพลาดบ้างก็ได้ไม่เป็นไร เพราะบางครั้งมันก็มอบบทเรียนอันล้ำค่าให้กับเรา เพื่อเป็นการปลดปล่อยความเครียดและความโดดเดี่ยวให้กับตัวเอง
จะเห็นได้ว่า แม้ว่าผู้นำที่เราเห็นๆ กันนั้นภายนอกจะดูเหมือนว่าเขามีทุกอย่าง แต่ภายในแล้วเขาอาจกำลังต้องต่อสู้กับความโดดเดี่ยวในใจที่ไม่สามารถบอกเล่าให้ใครฟังได้อยู่
หากใครเป็นผู้นำที่กำลังเผชิญกับความเดียวดายอยู่ ก็หวังว่าคุณจะพบกับต้นตอความเหงาของตัวเอง และสามารถกำจัดมันออกไปได้ด้วยวิธีการที่ถูกต้อง แล้วสุดท้ายคุณจะพบกับชีวิตที่มีความหมายและความสุขอย่างแท้จริง
อ้างอิง
– Why It’s Lonely At The Top : Julianna Summers, New Trader U – https://bit.ly/47e4WH9
– Leadership and loneliness: Leaders feel lonely, an overlooked reality : Dr Krishna Athal, The Times of India – https://bit.ly/3RDh3b1
– Loneliness: Causes and Health Consequences : Kendra Cherry, Verywell Mind – https://bit.ly/48ccj33
– New to Leadership? Here’s How to Address Loneliness : Abbey Lewis, Harvard Business Publishing Corporate Learning – https://bit.ly/3RILk8r
#worklife
#psychology
#loneliness
#missiontothemoon
#missiontothemoonpodcast