NEWSTrendsรัฐบาลสหรัฐฯ ลงมติ บีบให้ TikTok ตัดขาดจีน ไม่งั้นจะถูกแบนจากสหรัฐฯ

รัฐบาลสหรัฐฯ ลงมติ บีบให้ TikTok ตัดขาดจีน ไม่งั้นจะถูกแบนจากสหรัฐฯ

ทุกวันนี้ผู้คนสามารถหาความบันเทิงให้กับตัวเองได้อย่างง่ายดาย และหลากหลายยิ่งขึ้น เพราะมี ‘เทคโนโลยี’ ที่เลิศล้ำอย่างโทรศัพท์มือถือ หรืออินเทอร์เน็ตติดตัวอยู่ตลอดเวลา โดยสื่อบันเทิงที่ได้รับความนิยมจากผู้คนมากที่สุดก็คือคอนเทนต์วิดีโอสั้นจาก ‘TikTok’ ที่ไม่ว่าใครก็ต้องรู้จัก

TikTok เป็นแอปพลิเคชันภายใต้ ByteDance บริษัทยักษ์ใหญ่ในประเทศจีน โดยเป็นแพลตฟอร์มลงคลิปวิดีโอสั้นๆ และลิปซิงค์ไปกับแผ่นเสียงที่ติดมา หลังจากนั้นคนก็เริ่มชอบคอนเทนต์รูปแบบวิดีโอสั้นมากขึ้น จน TikTok กลายเป็นแหล่งกำเนิดของครีเอเตอร์สายคอนเทนต์ ความนิยมที่เพิ่มสูงขึ้นของ TikTok ก็ได้สร้างปรากฏการณ์ในโลกของแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย และยังสร้างความหวาดกลัวให้กับรัฐบาลหลายประเทศ จนเริ่มมีการแบนแอปฯ TikTok ในหลายๆ พื้นที่ เช่น ออสเตรเลีย เกาะบริเตนใหญ่ และฝรั่งเศสมาแล้ว

โดยเมื่อ 13 มีนาคมที่ผ่านมาสำนักข่าว The Economist ซึ่งเป็นสำนักข่าวที่มุ่งเน้นในการสร้างแรงผลักดันให้กับการเปลี่ยนในทางที่ดีขึ้น ทั้งด้านเทคโนโลยี การเมือง เศรษฐศาสตร์และสังคม ได้โพสต์บทความลงบนเว็บไซต์ของตัวเองเกี่ยวกับการลงมติของสภาผู้แทนราษฎรของสหรัฐฯ ให้กดดัน ByteDance บริษัทพัฒนาแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียของประเทศจีนขาย TikTok ให้กับบริษัทสัญชาติอื่น หากมิเช่นนั้น รัฐบาลสหรัฐฯ จะเริ่มออกกฎแบนแอปฯ นี้ จนข่าวดังกล่าวกลายเป็นประเด็นในโลกโซเชียลมีเดีย

แม้จะรู้กันดีว่าสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯ และประเทศจีนจะยังไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นพันธมิตรต่อกัน แต่แค่อยู่ภายใต้บริษัทแพลตฟอร์มสื่อของประเทศจีนจะทำให้ TikTok กลายเป็นภัยคุกคามในสายตารัฐบาลสหรัฐฯ ได้จริงหรือ?

เดิมที TikTok เป็นแอปพลิเคชันให้ความบันเทิง โดยที่ผู้ใช้งานจะอัดวิดีโอของตัวเองลิปซิงค์ หรือเต้นตามไปพร้อมกับแผ่นเสียง ซึ่งทำให้ช่วงแรกของการเปิดตัวแอปฯ TikTok เป็นเพียงแค่แพลตฟอร์มเพื่อความบันเทิงแบบหนึ่งเท่านั้น

แต่ในปัจจุบันนี้ TikTok เป็นมากกว่าสื่อบันเทิงเฉยๆ นอกจากคอนเทนต์แบบลิปซิงค์และเต้นตามแผ่นเสียง ผู้ใช้งานยังสามารถอัดคลิปวิดีโอ และตัดต่อตามความต้องการของตัวเองได้ ทำให้คลิปของผู้ใช้งานแต่ละคนแตกต่าง และสะท้อนตัวเจ้าของคอนเทนต์ได้อย่างชัดเจน ยิ่งไปกว่านั้นผู้ใช้งานยังสามารถทำคอนเทนต์รีวิวสินค้าต่างๆ และสร้างรายได้จากส่วนแบ่งการขายของ TikTok Shop ได้ด้วย

ผู้ใช้งาน TikTok ไม่ได้เป็นเพียง User เท่านั้น พวกเขายังเป็น Creator ผู้สร้างสรรค์ผลงานลงในช่อง TikTok ของตัวเองได้อย่างง่ายดายด้วย ในบทความจาก The Economist ยังกล่าวอีกด้วยว่า 1 ใน 3 ของประชากรชาวอเมริกันที่มีอายุต่ำกว่า 30 ปีมองว่า TikTok ไม่ได้ให้แค่ความบันเทิง แต่ยังเป็นแหล่งข่าวและข้อมูลที่สำคัญ รวมถึงเป็นพื้นที่สังคมทางออนไลน์อีกด้วย การเปลี่ยนบทบาทจากแอปฯ ที่ให้ความบันเทิง มาเป็นแพลตฟอร์มสื่อที่ขยายใหญ่ขึ้น ทำให้แอปพลิเคชันที่แรกเริ่มมีแค่วิดีโอสั้นๆ กับแผ่นเสียงถึงได้กลายเป็นที่นิยมไปทั่วโลก

ถึงจะเป็นคลิปสั้นๆ แต่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเราใช้เวลาเล่น TikTok ยาวพอๆ กับดูหนังสักเรื่อง หรือบางคนอาจใช้เวลาว่างและวันหยุดไปกับการเล่น TikTok มากกว่าเวลาที่ใช้ดูหนังเสียอีก

จากการสำรวจ ‘เวลาเฉลี่ยที่ใช้ต่อวันบน Netflix, TikTok และ YouTube โดยประชากรในสหรัฐฯ ซึ่งอายุเกิน 18 ปีระหว่างปี 2020 ถึง 2024’ จากเว็บไซต์ Statista พบว่าตั้งแต่ปี 2020 จำนวนเวลาโดยเฉลี่ยที่ชาวอเมริกันไถมือถือเพื่อดูคลิปสั้นใน TikTok นั้นเพิ่มมากขึ้นอย่างรวดเร็ว และเพิ่มมากกว่าเวลาโดยเฉลี่ยที่ชาวอเมริกันใช้ดู YouTube ดังนี้

[ ] ปี 2020 เวลาโดยเฉลี่ยที่คนดู TikTok อยู่ที่ 38.6 นาทีต่อวัน
[ ] ปี 2021 เวลาโดยเฉลี่ยที่คนดู TikTok อยู่ที่ 45.3 นาทีต่อวัน
[ ] ปี 2022 เวลาโดยเฉลี่ยที่คนดู TikTok อยู่ที่ 52 นาทีต่อวัน
[ ] ปี 2023 เวลาโดยเฉลี่ยที่คนดู TikTok อยู่ที่ 55.8 นาทีต่อวัน

จำนวนของผู้ใช้ที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ และใช้เวลาไปกับ TikTok มากขึ้นอย่างน่าตกใจ ทำให้ผู้คนเริ่มเห็นผลเสียของการดูคอนเทนต์วิดีโอสั้นเป็นระยะเวลานานเกินไป และความกังวลนี้ไม่ได้เกิดกับผู้เชี่ยวชาญหรือเหล่าผู้ปกครองเท่านั้น รัฐบาลสหรัฐฯ เองก็เริ่มเป็นกังวลกับเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน

Advertisements
Advertisements

เพราะ TikTok ได้รับความนิยมอย่างมาก ทำให้หลายประเทศเริ่มกังวลว่าบริษัทแม่จากประเทศจีนอย่าง ByteDance จะสามารถเข้าถึงข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้งานในประเทศอื่นๆ ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับผู้ใช้งานชาวอเมริกัน ซึ่งเป็นประเทศไม้เบื่อไม้เบากับรัฐบาลจีนมาอย่างยาวนาน

ยิ่งไปกว่านั้น รัฐบาลสหรัฐฯ ยังกังวลว่า ประชากรกว่า 150 ล้านคนที่ใช้งาน TikTok จะเป็นเป้าหมายในการเผยแพร่โฆษณาชวนเชื่อจากรัฐบาลจีน สภาผู้แทนราษฎรจึงมีมติเจรจาให้ ByteDance ที่เป็นเจ้าของ TikTok ยอมขายแอปพลิเคชันดังกล่าวให้กับบริษัทสัญชาติอื่น เพื่อลดความกังวลภายใต้สถานการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองที่ยังไม่สงบเท่าไรนักของทั้งสองประเทศ

แต่ความกังวลดังกล่าวเป็นเพียงคำกล่าวอ้างที่ยังไม่มีหลักฐานยืนยันว่า ByteDance มีวัตถุประสงค์แอบแฝงอย่างที่หลายคนกลัวจริงๆ และ TikTok เองก็ยืนกรานปฏิเสธมาตลอดว่าไม่มีการเก็บข้อมูลของผู้ใช้ชาวอเมริกัน เพื่อวัตถุประสงค์ทางการเมืองอย่างที่ผู้คนกลัวอย่างแน่นอน

อย่างไรก็ตาม ด้วยเหตุผลเรื่องความมั่นคงของชาติ ทำให้รัฐบาลหลายประเทศ เช่น สหภาพยุโรป สหราชอาณาจักร ออสเตรเลีย แคนาดา อินเดีย นิวซีแลนด์ และนอร์เวย์ได้ดำเนินการแบนแอปฯ TikTok อย่างเป็นทางการในบางพื้นที่ไปแล้ว

ส่วน TikTok ที่เคยสร้างคลื่น Disruption ขนาดใหญ่อย่างที่เห็นในรายงานสถิติของ Statista เองก็ยังคงต้องแข่งขันกับ Facebook และ Instagram ที่มี Reels ซึ่งเป็นคอนเทนต์วิดีโอสั้นอย่างดุเดือดเช่นกัน ทำให้การสูญเสียยอดผู้ใช้งานกว่า 150 ล้านรายในสหรัฐฯ กลายเป็นมรสุมครั้งใหญ่ที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้

แม้ว่ารัฐบาลสหรัฐๆ จะมีกฎหมายต่อต้านการผูกขาดในการกว้านซื้อธุรกิจต่างๆ และเคยฟ้องร้องการบริหารอย่างผูกขาดของ Meta Google และ Amazon มาแล้ว แต่กับ TikTok ที่สร้างขึ้นโดยนักธุรกิจชาวจีนกลับไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับสหรัฐฯ เลย

เพราะการตัดสินใจว่าจะขายหรือไม่นั้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับ ByteDance ที่เป็นบริษัทแม่เพียงฝ่ายเดียว แต่ยังต้องหารือร่วมกันกับรัฐบาลจีนอีกด้วย ถ้าทางจีนยอมปล่อยมือออกจาก TikTok ก็อาจจะสร้างปรากฏการณ์ที่ยิ่งใหญ่ให้ชาวโลกได้เห็น หรือถ้าจะเก็บ TikTok เอาไว้ และยอมปล่อย 150 กว่าล้านบัญชีในสหรัฐฯ ซึ่งเป็นกลุ่มตลาดที่ใหญ่ที่สุดไป ก็ไม่มีทางรู้เลยว่า ‘ใคร’ จะมีกำลังซื้อและความสามารถมากพอที่จะบริหารธุรกิจมูลค่าระดับนี้ต่อไปได้

อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้าที่รัฐบาลสหรัฐฯ จะมีมตินี้ รัฐบาลจีนเองก็เคยออกมาประกาศว่าจะไม่ขาย TikTok และจะต่อต้านการบังคับให้ขายทุกวิถีทาง แต่หาก TikTok ที่สร้างขึ้นมาด้วยไอเดียของนักธุรกิจจีนต้องตัดขาดจากจีนไปจริงๆ จะเป็นอย่างไร แล้วจะตกไปอยู่ในมือของบริษัทต่างชาติอย่างที่ใครหลายคนคาดการณ์เอาไว้หรือไม่ คงต้องลุ้นไปพร้อมๆ กัน

อ้างอิง
– Time for TikTok to cut its ties to China : The Economist – https://econ.st/3TAozWu
– Average time spent per day on Netflix, TikTok, and YouTube by adults in the United States from 2020 to 2024 : Statista – https://bit.ly/49MsOni
– If the US Forces ByteDance to Sell TikTok, Who Could Buy It? : Anna Edgerton, BloomBerg – https://bloom.bg/4c7oHE5

#tiktok
#trend
#missiontothemoon
#missiontothemoonpodcast

Advertisements

LASTEST ARTICLES

LASTEST PODCAST

Mission To The Moon
Mission To The Moon
พื้นที่ที่สร้างขึ้นเพื่อแบ่งบันเรื่องราวเกี่ยวกับการทำธุรกิจ การตลาด แรงบันดาลใจ และข้อคิดในการใช้ชีวิต

POPULAR ARTICLES

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายคุกกี้ และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่มีความจำเป็น (Strictly Necessary Cookies)
    เปิดใช้งานตลอด

    คุกกี้ที่มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้งานและเข้าชมเว็บไซต์ได้อย่างเป็นปกติ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้ อย่างไรก็ตาม คุณสามารถบล็อคการใช้งานคุกกี้ได้จากเบราว์เซอร์ที่ใช้งาน ซึ่งอาจจะส่งผลกระทบกับการใช้งานเว็บไซต์ได้

  • คุกกี้สำหรับการวิเคราะห์และวัดผลการทำงาน (Performance Cookies)

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากคุณไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้

บันทึกการตั้งค่า