หากพูดถึงการเปลี่ยนผ่านครั้งใหญ่ของชีวิต ช่วงเวลาหนึ่งที่เข้าเค้าที่สุดก็คงเป็นการก้าวจากชีวิต ‘มัธยม’ สู่ ‘มหาวิทยาลัย’ เพราะแม้จะดูเหมือนว่าเป็นช่วงเวลาที่ห่างกันไม่ถึงปี แต่กลับมีสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกันเป็นอย่างมาก
ซึ่งจะเห็นได้จากการที่เมื่อเร็วๆ นี้ ชาว X (Twitter) ได้พร้อมใจกันออกมาเล่นเทรดๆ หนึ่งที่แสดงให้เห็นถึงความแตกต่างอย่างสุดขั้วของสองช่วงชีวิตดังกล่าว เช่น
มัธยม : เดินผ่านหน้าครูโดยไม่ยกมือไหว้ โดนต่อว่าว่าไม่มีมารยาท
มหาวิทยาลัย : ไม่ไหว้ก็ไม่เป็นไร อาจารย์ไม่ได้ใส่ใจเรื่องนี้อยู่แล้ว
ในบทความนี้เราจึงอยากจะชวนทุกคนมาสำรวจถึงความแตกต่างของชีวิตช่วงมัธยมกับมหาวิทยาลัย มาดูไปพร้อมๆ กันว่า จะมีอะไรที่เปลี่ยนแปลงไปบ้าง
ความรับผิดชอบที่เพิ่มมากขึ้น
ตอนอยู่มัธยมเราต่างคุ้นเคยกับการมีคนคอยจัดแจงอะไรหลายๆ อย่างให้ เช่น ทางโรงเรียนมีการจัดเตรียมตารางเรียนไว้ให้แล้ว ครูมีการเช็กชื่อเข้าเรียนทุกวันและทุกวิชา หรือครูคอยตามให้เด็กนักเรียนส่งงานเป็นประจำเพื่อไม่ให้นักเรียนติด 0 ร มส
กลับกัน หากเรามองถึงโลกมหาวิทยาลัย ก็จะพบว่าเราที่เป็นนักศึกษา จะต้องมีการวางแผนการเรียนและเลือกลงวิชาเรียนในแต่ละเทอมด้วยตัวเอง อีกทั้งยังต้องคอยบังคับให้ตัวเองไปเรียนให้ได้ เพราะบางวิชาก็ไม่มีการเช็กชื่อ ทำให้สุ่มเสี่ยงต่อการโดดเรียนได้ง่าย ซ้ำร้ายอาจารย์บางท่านก็ไม่ได้คอยจ้ำจี้จ้ำไชให้เราส่งงานตลอดเวลา เพราะเขามองว่าสิ่งเหล่านี้คือความรับผิดชอบส่วนบุคคลที่ทุกคนจำเป็นต้องมี ถ้าเราติด F ก็ถือว่าเราไม่มีความรับผิดชอบมากพอ
แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีอาจารย์มหาวิทยาลัยที่คอยเตือนเราให้ส่งงาน เพราะอาจารย์หลายคนก็หวังดี กลัวเราลืมงานที่ให้ไว้ตั้งแต่ต้นเทอมและไม่อยากให้ติด F จนต้องมาเสียเวลานั่งเรียนใหม่
ระบบอาวุโส VS เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น
แม้ว่าครูมัธยมและอาจารย์มหาวิทยาลัยจะมีหน้าที่สอนหนังสือเหมือนกัน แต่กลับมีอะไรหลายๆ อย่างที่แตกต่างกัน สิ่งที่เห็นได้ชัดที่สุดคือระบบอาวุโสกับเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น
ในฝั่งของครูมัธยมมักจะให้ความสำคัญกับระบบอาวุโสและยึดถือกฎเกณฑ์เป็นอย่างมาก เช่น เจอหน้ากันต้องยกมือไหว้ ตอนเรียนทักท้วงเนื้อหาที่ครูสอนผิดไม่ค่อยได้ เรียกได้ว่าครูยึดหลักความเชื่อของตัวเองเป็นส่วนใหญ่ เมื่อแสดงความคิดเห็นอาจถูกมองว่าเถียง ต้องทำตามกฎระเบียบของโรงเรียนทุกกระเบียดนิ้ว เมื่อทำอะไรผิดก็จบลงด้วยการตีหรือการต่อว่า
กลับกัน อาจารย์มหาวิทยาลัยจะมีความเข้มงวดในเรื่องของระบบอาวุโสและกฎเกณฑ์น้อยกว่า ไม่ยึดติดว่าใครจะต้องไหว้หรือไม่ไหว้ อย่างเช่นจะไปเข้าห้องน้ำที เราก็ไม่ต้องขออนุญาตอาจารย์ผู้สอนเหมือนตอนเรียนมัธยม สามารถเดินออกไปแบบเงียบๆ ได้เลย
อีกทั้งอาจารย์โดยส่วนมากยังมักจะชอบให้นักศึกษาแสดงความคิดเห็นของตัวเอง เพราะมองว่าทุกคนมีอิสรภาพในการแสดงความคิดเห็น สงสัยอะไรก็ถามได้ ผิดแปลกยังไงก็สามารถทักท้วงได้ ซึ่งถือเป็นเรื่องดีที่จะช่วยให้นักศึกษามีอิสระในการคิดและตั้งคำถาม
อย่างไรก็ดี ใช่ว่าครูและอาจารย์ทุกคนจะเป็นเหมือนอย่างเรื่องราวข้างต้นไปเสียหมด เพราะก็มีครูบางคนที่ให้อิสระเด็กในการแสดงความคิดเห็นและไม่ยึดมั่นถือมั่นกับระบบอาวุโสมากเกินไป และอาจารย์บางคนก็อาจจะไม่ได้ให้อิสระนักศึกษามากขนาดนั้นเช่นกัน ทุกพื้นที่และทุกคนต่างก็มีข้อดีข้อเสียเป็นของตัวเองกันทั้งนั้น
แล้วคุณล่ะคิดว่าจาก ‘มัธยม’ สู่ ‘มหาวิทยาลัย’ มีความแตกต่างกันอย่างไรบ้าง?
อ้างอิง
– Moving From High School to University : SFU Library – https://bit.ly/3T4IjkC
#trend
#missiontothemoon
#missiontothemoonpodcast