วิกฤตสภาพภูมิอากาศที่เกิดขึ้นในปัจจุบันเรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในปัญหาที่ประชากรบนแผ่นเปลือกโลกทุกคนควรให้ความสนใจและจัดลำดับความสำคัญได้อยู่เบอร์ต้นๆ ไม่แพ้วิกฤตประชากรโลกหรือวิกฤตเศรษฐกิจกันเลยทีเดียว
ไม่ว่าจะเป็นปัญหาภาวะโลกร้อน (Global Warming) ที่กำลังจะกลายเป็นปัญหาภาวะโลกเดือด (Global warming) หรือปัญหาที่โลกมีอุณหภูมิสูงขึ้นกว่า 1.4 องศาเซลเซียส เกือบทะลุเพดานจำกัดที่ 1.5 องศาเซลเซียส เป็นหลักฐานชั้นดีว่าโลกเรากำลังก้าวเข้าสู่จุดพลิกผันที่จะหันหลังกลับไม่ได้อีกต่อไปในไม่ช้า
ด้วยตระหนักถึงอันตรายจากปัญหาเหล่านั้นจึงเกิดเป็นการประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Conference of the Parties) เพื่อหารือเรื่องการรับมือกับวิกฤตสภาพอากาศก่อนที่จะเกินเยียวยา
การประชุมฯ ครั้งล่าสุดนับเป็นการหารือครั้งที่ 28 แล้ว โดยการพูดคุยครั้งนี้เกิดขึ้นที่นครดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ท่ามกลางความกังวลและข้อกังขาว่ามนุษยชาติจะยับยั้งหายนะทางสภาพอากาศได้หรือไม่และต้องร่วมมือกันอย่างไร
ความน่าจับตามองของการประชุมฯ ครั้งนี้คือเนื้อหาที่มุ่งเน้นไปที่การจำกัดการบริโภคพลังงานฟอสซิล เช่น น้ำมัน ถ่านหิน แก๊ส เป็นต้น และการสนับสนุนการบริโภคพลังงานสะอาด เช่น พลังงานไฟฟ้า เป็นการทดแทน
องค์การพลังงานระหว่างประเทศ (The International Enery Agency: IEA) คาดการณ์ว่าการบริโภคพลังงานฟอสซิลจะถึงจุดสูงสุดในปี 2025 หลังจากนั้นความต้องการจะลดลง อย่างไรก็ตาม ผู้คนบางส่วนก็เกิดการตั้งคำถามว่ามนุษย์จะเปลี่ยนไปใช้พลังงานสะอาดได้ก่อนหรือโลกจะแตกก่อนกันแน่?
มนุษยชาติจะเลิกเสพพลังงานฟอสซิลได้จริงหรือ?
Vaclav Smil นักวิชาการและผู้เชี่ยวชาญด้านพลังงานได้กล่าวไว้ว่า ‘พลังงาน’ (Energy) ไม่ใช่แค่ปัจจัยทางเศรษฐกิจ เหมือนพวกเหล็กกล้า นวัตกรรม หรือข้อมูลด้านเทคโนโลยี แต่พลังงานเป็นเศรษฐกิจด้วยตัวของมันเอง
หากไม่มีพลังงานก็ไม่มีเศรษฐกิจ แล้วเช่นนั้นมนุษย์จะลดละเลิกการเสพพลังงานฟอสซิลได้ง่ายอย่างที่ตั้งใจไว้เชียวหรือ? “พวกเราเป็นสังคมแห่งพลังงานฟอสซิล เสียใจด้วยที่ต้องพูดเช่นนี้” Vaclav Smill กล่าวเมื่อพูดถึงการเปลี่ยนแปลงจากการบริโภคพลังงานฟอสซิลไปเป็นพลังงานสะอาด
ถ้อยแถลงของเขามาพร้อมกับหลักฐานตัวเลขการใช้เหล็กกว่าพันล้านตันต่อไป ซีเมนต์อีกสี่พันล้านตันต่อปีและพลังงานเหลวอีกกว่าสี่พันล้านตันต่อปีเช่นเดียวกัน ข้อมูลตัวเลขเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่าพลังงานฟอสซิลแฝงอยู่ในรากฐานการใช้ชีวิตของมนุษย์แทบจะทุกย่างก้าว
ก่อนหน้านี้มนุษย์ดำรงชีวิตท่ามกลางความเบื่อหน่ายและความแร้นแค้น จนกระทั่งยุคศตวรรษที่ 18 ราวๆ ช่วงยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม เราก็เริ่มเรียนรู้ที่จะใช้ประโยชน์จากพลังงานฟอสซิลเพื่อพลิกชีวิตให้สุขสบายมากยิ่งขึ้น
ข้อมูลสถิติจาก Energy Insitute เผยให้เห็นปริมาณการใช้พลังงานฟอสซิลที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดในช่วงปี 1950 จากเดิมที่มีการใช้พลังงานฟอสซิลถึง 20,000 เทเรวัตต์ชั่วโมงก็พุ่งสูงขึ้นถึง 120,000 เทเรวัตต์ชั่วโมง
ไม่เพียงแค่การใช้พลังงานที่พุ่งสูงขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมมนุษย์เท่านั้น การเพิ่มขึ้นของประชากรโลกก็เป็นหนึ่งในปัจจัยที่ทำให้ตัวเลขการบริโภคพลังงานฟอสซิลสูงขึ้นเช่นเดียวกัน
ตัวเลขสถิติจาก Gapminder แสดงให้เห็นการเปลี่ยนแปลงทางประชากรศาสตร์จากเดิมที่มีเพียง 2-3 ล้านคนในช่วงยุคน้ำแข็ง ก็เพิ่มสูงขึ้นเป็นพันล้านคนในช่วงยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม มาจนถึงปัจจุบันที่เพิ่มขึ้นเป็นแปดพันล้านคนภายในเวลาเพียง 200 ปี
เรียกได้ว่าแม้การบริโภคพลังงานฟอสซิลเราแทบชนเพดานแล้วก็ตาม มนุษย์ก็ยังคงพึ่งพาพลังงานประเภทนี้อยู่กว่า 80% ของการดำรงชีวิต ดังนั้นจึงเกิดเป็นคำถามว่าต้องใช้เวลาเท่าใดกว่ามนุษย์จะลดจำนวนการบริโภคพลังงานฟอสซิลลงได้? และโลกเราจะทนได้จนกว่าจะถึงตอนนั้นหรือไม่?
ท่ามกลางความสงสัยยังคงมีความหวัง ปัจจุบันมีการหันมาใช้พลังงานลมและแสงอาทิตย์ในการผลิตไฟฟ้าเพิ่มมากขึ้น โดยคิดเป็นตัวเลขประมาณ 12% เทียบกับการใช้พลังงานฟอสซิลที่ยังคงครองอยู่ที่ 70% ของการผลิตไฟฟ้า
แน่นอนว่าพลังงานไฟฟ้าก็นับเป็นแค่เพียง 1 ใน 5 ของพลังงานทั้งโลกที่มนุษย์ใช้ในแต่ละวัน ดังนั้นเมื่อลองคำนวณแล้วจะพบว่าพลังงานสะอาดนั้นมีบทบาทเพียง 2% เท่านั้น แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังแสดงให้เห็นความเคลื่อนไหวและคืบหน้าในการเปลี่ยนจากการบริโภคพลังงานฟอสซิลไปเป็นพลังงานสะอาด
นอกจากนี้เทรนด์การบริโภคยังมุ่งหาพลังงานสะอาดมากขึ้นเนื่องมาจากประสิทธิภาพในการทำงานและความคุ้มค่าเทียบกับราคาที่จ่าย ไฟฟ้าหมุนเวียนในปัจจุบันมีราคาต่ำกว่าพลังงานฟอสซิลเป็นอย่างมาก นับว่าเป็นแรงจูงใจที่ดีในการเปลี่ยนแปลง
แต่การใช้พลังงานสะอาดยังคงมีข้อจำกัดในการติดตั้งอุปกรณ์เก็บและผลิตกระแสไฟฟ้าหมุนเวียน ในส่วนนี้จึงเกิดความคาดหวังให้รัฐบาลและประเทศโลกที่ 1 เป็นผู้แบกรับการสนับสนุนค่าใช้จ่ายด้านนี้ให้แก่ประเทศที่กำลังพัฒนาเพื่อการมุ่งหน้าไปสู่เป้าหมายพร้อมๆ กัน
ไม่ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไรแต่วิกฤติสภาพอากาศที่เกิดขึ้นปัจจุบันนั้นเป็นเรื่องจริง และความจริงที่ว่าการเปลี่ยนแปลงจะมาถึงในสักวันก็ยังไม่มีผู้ใดสามารถโต้เถียงได้ การเตรียมพร้อมรับมือกับวิกฤตและการเปลี่ยนแปลงไปพร้อมกันอาจฟังดูยากลำบากแต่ก็จำเป็นที่จะต้องเดินหน้าต่อไป
ที่มา
– Fossil fuels: Can humanity really kick its addiction?: Justin Rowlatt, BBC – https://bbc.in/3GOBXPl
– Examining COP28’s potential impact on climate change: Matt McGrath, BBC – https://bbc.in/3Rv0puf
#trend
#COP28
#climatechange
#missiontothemoon
#missiontothemoonpodcast