ผู้หญิงต้องโกนขนเพราะโฆษณา Gillette? เมื่อการขยายฐานลูกค้ากลายเป็นการปลูกฝังค่านิยม “ผิวเนียนไม่มีขนนั้นดูสวยงาม”

894
โกนขน gillette

มนุษย์เราโกนขนไปทำไม?

เราอาจจะตัดผมสั้น บางคนอาจจะโกนผมทั้งศีรษะ เพราะไว้ผมยาวแล้วรู้สึกร้อน เกะกะ หรือรักษาความสะอาดยาก บางคนโกนหนวดโกนเคราเพราะอยากให้หน้าตาดูเกลี้ยงเกลา เพิ่มความมั่นใจ หรือทำไปเพราะสังคมมองว่าดีจึงทำตาม

ไม่ว่าคุณจะเป็นเพศไหน โกนขนบนร่างกายด้วยเหตุผลใด แต่รู้หรือไม่ว่า การโกนขนตามส่วนต่างๆ ของร่างกายมีประวัติยาวนานมาตั้งแต่อดีต ในสมัย 3,000 ปีก่อนคริสตกาล แถบอียิปต์และอินเดียในปัจจุบัน มีการค้นพบใบมีดโกนชิ้นแรกๆ ของโลกทำจากทองแดง ผู้หญิงในยุคโรมันโบราณมีการใช้คีมเล็กๆ ถอนขนและใช้หินภูเขาไฟขัดถูตามร่างกายเพื่อขจัดขน อียิปต์ในยุคของคลีโอพัตรามีการใช้น้ำตาลเป็นส่วนผสมสำหรับแวกซ์ขน กระทั่งอังกฤษในยุคของเอลิซาเบธที่ 1 ก็มีการถอนขนคิ้วและผมด้านหน้าบางส่วนเพื่อให้หน้าผากดูยาวขึ้น

แม้จะมีการโกนและถอนขนมาแต่อดีต แต่การโกนขนยังถือเป็นเรื่องอันตรายที่จะทำด้วยตัวเอง เพราะใบมีดเป็นเส้นตรงและคมมาก ตวัดพลาดอาจถึงตายได้ การจะโกนหนวดเคราสำหรับผู้ชายนั้นจำเป็นต้องให้ช่างที่มีฝีมือชำนาญการเป็นผู้ทำ ในขณะเดียวกัน ฝั่งผู้หญิงนั้นไม่ได้มองว่าการมีขนบนร่างกาย เช่น ขนรักแร้ หรือขนขาหน้าแข้ง เป็นเรื่องแปลกประหลาดแต่อย่างใด การโกนขนในผู้หญิงจึงไม่เป็นที่นิยมมากนัก

Advertisements

ต้นกำเนิดมีดโกนที่ปลอดภัยชิ้นแรกของโลก

จนกระทั่งในปี 1903 ‘King Camp Gillette’ ผู้ก่อตั้งบริษัท ‘Gilllette’ บริษัทผลิตใบมีดโกนชื่อดังในปัจจุบัน ได้ผลิตมีดโกนที่สามารถถอดเปลี่ยนใบมีดได้สำเร็จเป็นครั้งแรก แถมยังมีความปลอดภัยในการใช้สูง ผู้ชายที่อยากจะโกนหนวดไม่จำเป็นต้องไปร้านตัดผมอีกต่อไป กระแส Clean-Shaven หรือการโกนจนใบหน้าเกลี้ยงเกลาจึงมาแรงมากในช่วงนั้น

แต่ทางแบรนด์ต้องการขยายฐานลูกค้าให้มากขึ้นอีก เขาจึงเบนไปหากลุ่มผู้หญิง โดยการจ้างให้นิตยสารสำหรับผู้หญิงลงข่าวและโฆษณาใจความว่า “การที่ผู้หญิงมีขนรักแร้และขนขานั้นดูไม่งาม ไม่สมเป็นกุลสตรี ถ้าอยากสวยและดูดีมีเสน่ห์ ต้องโกนขนเหล่านั้นออกไปให้เกลี้ยงเกลา” พร้อมทั้งออกผลิตภัณฑ์ใบมีดโกนสำหรับผู้หญิงออกมาในปี 1914 และสร้างแคมเปญรณรงค์ต่อต้านขนรักแร้และขนขาของผู้หญิงในปี 1915

แม้การโกนขนขาและขนรักแร้สำหรับผู้หญิงในช่วงแรกๆ จะเป็นเรื่องที่ค่อนข้างแปลกอยู่พอสมควร แต่การมาของแฟชันเสื้อแขนกุดและกระโปรงสั้นในปี 1920 รวมไปถึงการรณรงค์ผ่านแคมเปญและโฆษณาอย่างไม่หยุดยั้ง สังคมจึงเริ่มคล้อยตามโฆษณาของ Gillette จนเวลาล่วงเลยมาถึงปี 1950 หลังจบสงครามโลกครั้งที่สอง การโกนขนรักแร้และขนขากลายเป็นวัฒนธรรมของชาวอเมริกันโดยสมบูรณ์ และแนวคิดนี้ก็ค่อยๆ กระจายออกไปทั่วโลกผ่านโฆษณา ภาพยนตร์ และสื่อต่างๆ

เรายังจำเป็นต้องโกนขนบนร่างกายมากน้อยแค่ไหน

หลังจากปี 2000 เป็นต้นมา กระแสต่อต้านการโกนขนในผู้หญิงมีอัตราเพิ่มสูงขึ้น เพราะมองว่าการที่สังคมมีค่านิยมต้องให้ผู้หญิงโกนขนรักแร้ ขนขา รวมไปถึงขนปกคลุมอวยัวะเพศ เพื่อให้พวกเธอนั้นดูสมเป็นกุลสตรีอย่างที่สังคมหรือผู้ชายต้องการนั้นไม่ถูกต้องและเป็น #การกดขี่ทางเพศ การที่ใครจะโกนขนหรือไว้ขนนั้นสมควรเป็นสิทธิส่วนบุคคล ไม่ใช่ค่านิยมที่สร้างขึ้นเพื่อสนองคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งและตีกรอบบังคับกดขี่คนอีกกลุ่มหนึ่ง อีกอย่าง การมองว่ามีขนเท่ากับสกปรกนั้น ปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดร่างกายที่หลากหลาย หากดูแลรักษาความสะอาดให้ดีแล้ว ไม่ว่าเส้นขนส่วนใดจะยาวแค่ไหนก็ไม่ใช่ปัญหา

Advertisements

จากเรื่องนี้จะเห็นได้ว่า โฆษณานั้นสามารถสร้างอิทธิพลอย่างมหาศาลไปจนถึงขั้นเปลี่ยนความคิดและสร้างค่านิยมใหม่ให้สังคมได้ ดังนั้น ก่อนจะเลือกซื้อผลิตภัณฑ์เพราะโฆษณาอย่าลืมตรวจสอบให้แน่ใจว่า เราซื้อเพราะเราอยากได้และจำเป็นจริงๆ หรือเราซื้อเพราะเราโดนหว่านล้อมกันแน่ และในยุคที่สิทธิส่วนบุคคลเป็นเรื่องสำคัญ การผลิตโฆษณาโดยคำนึงถึงเรื่องนี้คือสิ่งสำคัญสำหรับผู้ผลิตทุกคน


แปลและเรียบเรียงจาก:

https://bit.ly/3e5wlCW
https://bit.ly/3eMS6GC
https://s.si.edu/3nAbACs

#MissionToTheMoonPodcast

ติดตามความเคลื่อนไหวและเนื้อหาน่าสนใจอื่นๆ ได้ที่ https://missiontothemoon.co/

Advertisements