เมื่อตอนที่ยังเป็นเด็ก ในช่วงอายุที่ยังขึ้นต้นด้วยเลข 1 หรือเลข 2 ช่วงเวลาแห่งความสุขที่แทบทุกคนจะต้องรอคอยในแทบทุกปีคงหนีไม่พ้น “วันคล้ายวันเกิด”
วันที่จะได้รับของขวัญและคำอวยพรมากมาย จากทั้งครอบครัว เพื่อน คนสนิท หรือคนรัก
และยังเรียกได้ว่า เป็นวันแห่งการเปลี่ยนผ่าน เพื่อที่จะบ่งบอกว่าตัวเรา ‘โตขึ้น’ ไปอีกปีด้วยเช่นกัน
แต่เมื่อกาลเวลาเปลี่ยนผ่านไปในแต่ละวัน จากวันสู่เดือน จากเดือนสู่ปี จากอายุที่ขึ้นต้นด้วยเลข 1 ก้าวเข้าสู่เลข 2 เลข 3 และเลข 4 ในที่สุด
รวมเวลาแล้วกว่าครึ่งชีวิตที่ผ่านเลยมา ช่วยสั่งสมทัศนคติและประสบการณ์จากหลากหลายรูปแบบ อาจเรียกได้ว่าเป็นวัยที่ได้เรียนรู้โลกมาในหลายแง่มุมพอสมควร และอาจมากพอที่จะมีช่วงเวลาได้หวนกลับไปนึกถึงกว่าครึ่งชีวิตที่ผ่านมา อย่างเช่นที่คุณรวิศ ได้เล่าไว้ใน Mission To The Moon Podcast EP.1416 ข้อคิดจากบันทึกส่วนตัวของคนวัย 40 (สามารถรับฟังเนื้อหาทั้งหมดได้ทาง >> https://bit.ly/35T558X)
รวมแล้วกว่า 11 ข้อคิด ที่นำมาเรียบเรียงใหม่ เพื่อแบ่งปันให้ทุกคนได้กลับไปย้อนนึกถึงเรื่องราวของตัวเองด้วยเช่นกัน ที่ไม่ว่าจะเป็นคนในช่วงวัยไหนก็สามารถนำไปปรับใช้ได้ หากคุณยังอายุไม่ถึง 40 ก็จะได้มีเวลาเตรียมตัวกันตั้งแต่ตอนนี้ หรือคนที่แม้ว่าจะอายุเลยเลข 4 ไปแล้ว ก็สามารถมาร่วมปรับตัวและแบ่งปันความเห็นด้วยกันได้
ข้อคิดที่ 1: จำนวนเพื่อนที่มี นับวันก็ยิ่งน้อยลง
เพื่อนที่ยังติดต่อกันจนถึงปัจจุบันนั้น แทบจะเรียกได้ว่านับจำนวนคนได้เลยทีเดียว แถมการจะนัดเจอกันแต่ละทีได้นั้นก็ช่างยากเย็นแสนเข็ญ
แต่ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานขนาดไหน แม้จะไม่ค่อยได้ติดต่อกันสักเท่าไหร่ แต่เมื่อได้กลับไปคุยกันทีไร ไม่ว่ายังไงก็จะยังสามารถสนิทกันได้เหมือนเดิม เพื่อนที่เหลือเหล่านี้จึงเป็นเหมือน ‘ไทม์แคปซูล’ ที่เก็บตัวตนเราในวัยเด็กเอาไว้ เมื่อกลับไปทีไรก็ทำให้เรารู้สึกสบายใจได้ในทุกครั้ง
ในขณะเดียวกัน ตรงกันข้ามกับจำนวนเพื่อนที่น้อยลง จำนวน ‘คอนเนคชัน’ ของเราก็ค่อยๆ กว้างขวางขึ้น เราค่อยๆ เป็นที่รู้จัก และได้รู้จักผู้คนมากมาย มากขึ้นตามระยะเวลาประสบการณ์การทำงานที่ทุ่มเทในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
ข้อคิดที่ 2: ความสุขทุกอย่างที่มี พื้นฐานสำคัญเลยก็คือ มาจากร่างกายที่แข็งแรง
วัยนี้ที่ยิ่งเป็นเหมือนช่วงเวลาสำคัญของชีวิตการทำงาน ด้วยภาระที่เพิ่มขึ้น มาพร้อมความกดดันจากตำแหน่งงานที่มี ทำให้ความเครียดมีแต่จะเพิ่มขึ้นในทุกๆ วัน แต่อยากให้คุณรู้ไว้ว่า ความเครียดที่มากจนเกินไปแบบนี้ มีแต่จะหยุดให้คุณทำงานต่อไปไม่ได้ และมีแต่จะกระทบการทำงานของคุณให้แย่ลง
หรืออย่างการที่หลายครั้งเลือกที่จะอดหลับอดนอนเพื่อทำงานต่อไปให้เสร็จเหมือนอย่างสมัยตอนเป็นวัยรุ่นนั้น บอกได้เลยว่า “การอดนอนเพื่อให้ทำงานได้เยอะขึ้นนั้น เป็นสิ่งที่ไม่คุ้มค่าเลยกับสุขภาพที่เสียไป”
หลังผ่านการใช้ร่างกายมาอย่างหนักหน่วงในช่วงวัยรุ่น เมื่อก้าวเข้าสู่เลข 4 ร่างกายก็เริ่มแสดงอาการ อย่างเช่น บางครั้งก็เหนื่อยโดยไม่มีสาเหตุ สุขภาพเริ่มเอาแน่เอานอนไม่ได้ รู้สึก Hang Over อยู่บ่อยครั้งแม้ไม่ได้ไปดื่มมา เหตุผลเพียงเพราะว่าวันนั้นแค่ ‘นอนน้อย’ มา
จึงพูดได้เลยว่า “คุณจะไม่สามารถมีความสุขได้ในร่างกายที่ไม่แข็งแรง” การโฟกัสเรื่องการดูแลร่างกายจึงกลายเป็นสิ่งสำคัญอันดับแรกๆ ในวัยนี้มากกว่าเรื่องงานกันแล้วด้วยซ้ำ
ข้อคิดที่ 3: คุณจะเริ่มรู้แล้วว่า ชอบหรือไม่ชอบอะไรจริงๆ
ตอนเด็กๆ เวลาใครบอกให้ทำอะไร แม้จะรู้สึกลึกๆ ว่า เป็นสิ่งที่ไม่ค่อยชอบก็ตาม แต่ก็จะไม่ค่อยกล้าปฏิเสธ และยอมฝืนใจทำตามไป แต่เมื่อโตขึ้น เมื่อตอนนี้คุณมองเห็นความชอบของตัวเองชัดเจนและหนักแน่นขึ้นแล้ว จะทำให้คุณได้เรียนรู้ว่า จะไม่ยอมฝืนใจตัวเองทำอะไรในสิ่งที่ไม่ชอบอีกแล้ว
เมื่อคุณรู้ตัวเองอย่างแน่ชัดแล้วว่า ชอบอะไร ไม่ชอบอะไร ก็ขอให้หนักแน่นกับสิ่งนั้น อย่าฝืนทำอะไรที่ไม่ชอบโดยไม่จำเป็น และก็ไม่ควรที่จะบังคับใครทำอะไรตามสิ่งที่ตนเองต้องการเช่นกัน
“You can’t control others, but you can guide them. You can’t force others, but you can inspire them.”
ข้อคิดที่ 4: ไม่ได้มีใครสนใจคุณขนาดนั้น
“ถ้าทำแบบนั้น คนอื่นเขาจะคิดกับเรายังไง”
“ทำแบบนี้ไป คนอื่นต้องมองเราไม่ดีแน่ๆ”
แต่ก่อนก็มักจะมานั่งคิดแบบนี้อยู่ตลอดเวลาก่อนจะทำอะไรสักอย่าง มัวแต่ห่วงภาพลักษณ์ว่าคนอื่นจะมองตัวเรายังไง หรือหากทำอะไรผิดพลาดเล็กน้อยแค่ไหน ก็จะเอากลับมาเก็บย้ำคิดย้ำทำกับสิ่งนั้นซ้ำๆ ว่าคนอื่นจะคิดยังไงกับเราไปไหนต่อไหน
แต่เมื่อโตขึ้น ก็เริ่มเข้าใจแล้วว่า ความจริงแล้ว “ไม่ได้มีใครมาสนใจตัวเราขนาดนั้น” ทุกคนต่างใช้ชีวิตของตัวเองกันไป ไม่ได้มานั่งเก็บรายละเอียดคิดเล็กคิดน้อยว่าคนอื่นจะทำอะไร หรือตัวคุณทำอะไรลงไป มีแต่เราเองนี่แหละ ที่นั่งคิดมากอยู่คนเดียว
ข้อคิดที่ 5: เข้าใจเป้าหมายของชีวิต
เมื่อเริ่มเข้าสู่วัยกลางคน ก็เริ่มที่จะวางแผนชีวิตตัวเองในอนาคตแล้วว่า “เราอยากใช้ชีวิตที่เหลือต่อไปอย่างไร?”
ตอนนี้อยากทำอะไร จะบริหารเงินอย่างไร วางแผนครอบครัวไปในทิศทางไหน และตั้งเป้าหมายที่ชัดเจนของตัวเองไว้ เพื่อให้รู้ว่า “ตอนนี้เราควรทำอะไร เพื่อไปให้ถึงจุดมุ่งหมายนั้น” และก็ต้องไม่ลืมที่จะเตรียมแผนสำรองไว้เสมอด้วยเช่นกัน
ข้อคิดที่ 6: เริ่มตั้งคำถามกับงานตัวเอง
หลายครั้งที่มักจะตั้งคำถามกับตัวเองว่า “เราชอบงานตัวเองจริงๆ หรือเปล่า”
ที่ยังทำงานปัจจุบันอยู่จนถึงทุกวันนี้ เพราะ ‘เราชอบมันจริงๆ’ หรือแค่เพราะว่า ‘เราทำมันมาโดยตลอด’ บางทีเราก็อาจต้องหาเวลามาทบทวนตัวเองให้ดี ถึงความชอบ เป้าหมายในชีวิต คุณค่าของงานที่ทำ ทั้งจากเนื้องานและสิ่งแวดล้อมในการทำงาน
มาหาคำตอบตัวเองให้เจอว่า ความจริงแล้ว “เราชอบงานที่ทำอยู่… จริงๆ หรือเปล่า?”
ข้อคิดที่ 7: ความเงียบกลายเป็นของราคาแพง
ไม่ว่าเพราะอายุ ตำแหน่งงาน หรือหน้าที่ที่มากขึ้น ความเงียบกลายเป็นของราคาแพง ไม่ว่าจะเป็นเพราะงานเร่งงานด่วนที่เด้งเข้ามาไม่หยุดทั้งที่เป็นวันหยุด หรือวัยเริ่มพัฒนาการของลูกที่กำลังโตก็ต้องการได้รับการดูแลเอาใจใส่ที่ดีอย่างขาดไม่ได้ การที่จะขอเวลาให้ได้ใช้ชีวิตอย่างสงบ อยู่เงียบๆ เฉยๆ คนเดียวบ้างนั้น ดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่หาได้ยากขึ้นในทุกวัน
ข้อคิดที่ 8: ควรหาวิธีท่ีใช้แรงทำน้อยลง แต่ได้ผลลัพธ์มากขึ้น
ควรหาวิธีอะไรก็ตามที่ใช้ ‘Input ให้น้อยลง’ เพื่อ ‘Output ให้มากขึ้น’ ไม่ให้เปลืองพลังงานตัวเองมากจนเกินไป อย่างเช่น การยอมรับคนที่เก่งกว่าเข้ามาในทีม เพื่อเพิ่มศักยภาพงาน ให้ใช้คนน้อยลง แต่มีผลงานที่ดีขึ้น และหาวิธีที่จะทำให้คนเก่งๆ เหล่านั้น อยากมาทำงานร่วมด้วยกันกับเรา
ข้อคิดที่ 9: ทุกอย่างมีเวลาของมัน
การจะประสบความสำเร็จได้นั้น มีเวลาของมัน ของที่คุณอยากได้ แต่ตอนนี้ยังไม่ได้มานั้น อีกเดี๋ยวก็จะได้มาเอง หากคุณพยายามทำอย่างสม่ำเสมอ วันหนึ่งจะเกิดผลลัพธ์ตอบแทนคุณมาไม่มากก็น้อย ทุกอย่างมีเวลาที่เหมาะสมรออยู่ การยังไม่ประสบความสำเร็จในวันนี้ ก็ไม่ได้แปลว่าคุณจะไม่สามารถประสบความสำเร็จได้เลยตลอดชีวิต สักวัน มันจะมีเวลาที่เป็นของคุณเอง
ข้อคิดที่ 10: การศึกษาการลงทุนเป็นสิ่งสำคัญ
การเก็บเงินเพื่ออนาคตข้างหน้า ท่ามกลางดอกเบี้ยอันน้อยนิด ในสถานการณ์ที่ค่าครองชีพมีแต่จะเพิ่มขึ้นสูงแบบนี้ แค่การออมเงินอย่างเดียวนั้นย่อมไม่สอดรับกับอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นในทุกปี
การลงทุนต่างหากจะทำให้คุณเติบโตได้อย่างแท้จริง ถ้าเป็นไปได้ก็ควรหาเวลามาศึกษาเรื่องนี้ตั้งแต่เนิ่นๆ กันดีกว่า
ข้อคิดที่ 11: เป็นผู้ใหญ่ที่ใช้เวลาในทุกวินาทีอย่างคุ้มค่า
เรียกได้ว่า วัยนี้ คุณจะเริ่มได้เป็นประธานงานต่างๆ มากยิ่งขึ้น อย่างเช่น งานแต่ง หรืองานศพ จากที่แต่ก่อนเคยมองประธานที่ออกไปพูดเปิดงานต่างๆ ในพิธีไว้ว่า “ดูแก่จัง” แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นตาเราเองแล้วที่ได้ไปยืน ณ จุดนั้นแทน ซึ่งนี่ก็เป็นเหมือนข้อเตือนใจอย่างหนึ่งว่า ‘คุณได้โตเป็นผู้ใหญ่เต็มตัวแล้ว’
‘เป็นผู้ใหญ่’ ที่ไม่ได้หมายถึงแค่อายุ แต่เป็นคนที่ต้องแบบอย่างให้กับคนอื่นได้แล้วจริงๆ
นอกจากนั้น ยิ่งเป็นประธาน อย่างเช่นในงานศพ ก็จะยิ่งเป็นคนที่ได้นั่งเข้าใกล้โลงศพมากขึ้น และยิ่งเข้าใกล้โลงศพในงานมากขึ้นเท่าไหร่ นี่ก็เป็นเหมือนสัญลักษณ์อีกอย่างหนึ่งที่บอกเป็นนัยว่า “เวลาของเราก็ใกล้เหลือน้อยเต็มทีแล้ว” เช่นกัน
สุดท้ายนี้ ไม่ว่าตอนนี้คุณจะกำลังอยู่ในช่วงวัยไหนก็ตาม แต่โปรดจงใช้เวลาทุกวินาทีของตัวเองให้คุ้มค่า และมีความสุขกับสิ่งเล็กๆ ในแต่ละวัน หมั่นมอบความรัก และเอาใจใส่คนที่คุณรัก ร่วมสร้างความทรงจำที่ดีต่อกันไว้ เริ่มต้นได้ง่ายๆ จากการทักทายด้วยรอยยิ้มเล็กๆ หรือคำพูดให้กำลังใจดีๆ กันในแต่ละวัน สิ่งเล็กๆ เหล่านี้ก็อาจทำให้อีกฝ่ายรู้สึกอบอุ่นหัวใจไปได้ทั้งวัน
แล้วคุณล่ะ ได้เรียนรู้อะไรตลอดช่วงอายุที่ผ่านมาบ้าง มาร่วมแชร์กันได้นะ 🙂
เรียบเรียงจาก:
https://bit.ly/35T558X
#missiontothemoon
#missiontothemoonpodcast
#inspiration