ผมได้มีโอกาสนัดคุยงานกับพี่ต่อ ธนญชัย ศรศรีวิชัย บุคคลที่ผมเคารพมากที่สุดคนนึงครับ เราคุยเรื่องงานกันยาวเหยียดเหมือนเคย ซึ่งเดี๋ยวคงได้เห็นผลงานพี่ต่อกันเร็วๆนี้และเชื่อว่าจะต้อง “โดน” ใจผู้ชมอย่างแน่นอน
แต่รอบนี้ผมไม่ได้จะมาเขียนเรื่องงาน
เพราะเรื่องที่คุยเล่นหลังจากคุยงานเสร็จสนุกกว่าเยอะ
คำตอบที่ไม่เคยได้ยิน
ผมเล่าให้พี่ต่อฟังว่าผมมีความฝันอยากทำงานร่วมกับดีไซน์เนอร์ระดับโลกคนนึง ถ้าผมได้มีโอกาสทำงานกับคนนี้ผมจะถือว่าเป็นความสำเร็จสูงสุดของแบรนด์ศรีจันทร์ แม้ว่าเวลาเล่าให้ใครฟังทุกคนจะคิดว่าความฝันของผมดูบ้ามากก็ตาม
พี่ต่อตอบในสิ่งที่ผมไม่เคยคิดว่าจะได้ยินมาก่อน
พี่ต่อบอกว่า ให้ผมทำงานแบบบ้าๆที่ไม่เหมือนชาวบ้านแบบนี้ต่อไป (คำว่าบ้าๆนี่ผมเติมเอง แต่ความหมายประมาณนี้) แล้ววันนึงดีไซน์เนอร์คนนี้จะบินมาหาผมเอง
เอางั้นเลยนะพี่
แล้วพี่ต่อก็เล่าเรื่องของแกให้ฟัง
พี่ต่อบอกว่า เวลาพี่อยากทำอะไรพี่ลงมือทำเลยไม่ต้องสนใจเสียงอะไรรอบข้าง
พี่ต่ออยากปลูกป่า พี่ต่อซื้อที่ดิน พี่ต่อขับรถไปคลอง 14-15 ซื้อต้นไม้มาปลูก
ไม่ต้องประชุม ไม่ต้องตั้งคณะกรรมการ อะไรให้มันวุ่นวาย
อยากปลูกป่า ก็ปลูกป่า จบ
ถ้าตั้งใจทำอะไร ให้ลงมือทำ
อย่าให้เสียงสงสัยเสียงวิพากวิจารณ์ของคนอื่นดังกว่าเสียงในใจเรา
พี่ต่อเล่าอีกว่าสมัยยังเป็นผู้กำกับเด็กน้อยอายุยี่สิบกว่าๆ พี่ต่อ มีไอดอลเป็นผู้กำกับหนังญี่ปุ่นคนหนึ่งชื่อ ฮายากาว่า คาซุโยชิ (Hayakawa Kazuyoshi) เป็นผู้กำกับหนังโฆษณามือเก๋าสุดๆของญี่ปุ่นใครอยู่ในวงการต้องรู้จักแน่นอน พี่ต่อเฝ้าดูผลงานของ ฮายากาว่า อย่างชื่นชม หนังบางเรื่องดูเป็นสิบๆรอบ มีความฝันอยากจะพบตัวจริงซักครั้งแต่ไม่รู้ว่าจะไปเจอกันได้ยังไง
ผ่านไปหลายปีพี่ต่อก็พัฒนาตัวเอง พัฒนาผลงานไปเรื่อยๆ จนกระทั่งอายุ 37-38 หลังทำโฆษณาชิ้นนึงของ ททท พี่ต่อได้รับโทรศัพท์ว่ามีคนขอมาเข้าพบ ปรากฏว่า ฮายากาว่า มาประเทศไทย เพราะอยากเจอพี่ต่อเพราะชอบงานของพี่
เป็นเรื่องน่าอัศจรรย์ แต่ไม่บังเอิญทุกอย่างมาจากความเพียรของพี่ต่อ
1984
พี่แก่ สาธิต กาลวันตวานิช ผู้ก่อตั้ง Phenomena เคยมาเล่าให้ผมฟังในคลาส ABC 5 ถึงเรื่องที่ผมว่าเป็นหลักฐานของแนวคิดนี้ของพี่ต่อ
ในปี 1984 มีหนังโฆษณาชิ้นนึงของ Apple ชื่อ “1984” ซึ่งเป็นหนังโฆษณาเครื่องคอมพิวเตอร์ Macintosh ที่ต้องการออกมาต่อกรกับพี่ใหญ่ในวงการคอมพิวเตอร์อย่าง IBM ด้วยการสร้างหนังที่เป็นที่ฮือฮาแบบสุดๆและฉายวันแรกในการแข่งขัน Superbowl ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ค่าออกอากาศแพงที่สุดในโลก
หนังเรื่องนี้กำกับโดย ริดลีย์ สก็อตต์ (Ridley Scott) ผู้กำกับภาพยนต์ชื่อดังที่มีผลงานอย่าง Alien, Blade Runner, Gladiator, Black Hawk Down ฯลฯ
1984 เป็นหนังที่แปลกแหวกแนวมากในยุคนั้นจนได้รับการพูดถึงมากมาย Macintosh ขายถล่มทลาย และสื่อต่างๆเอาหนังเรื่องนี้ไปฉายต่อทำให้ Apple ได้พื้นที่สื่อฟรีๆเพียบ
ที่สำคัญทุกปีจะมีการจัดลำดับภาพยนต์ซึ่งถ้าผมจำไม่ผิดคนจัดคือ Adweek ที่จะให้เหล่าบรรดาครีเอทีฟและผู้กำกับจากทั่วโลก โหวตกันว่าชอบหนังเรื่องไหนที่สุด หนังเรื่อง “1984” ได้ที่หนึ่งของตารางติดต่อกันมายาวนานเป็นเวลายี่สิบกว่าปี
ทุกคนในวงการต่างกล่าวขานถึงความยิ่งใหญ่และคลาสิคของหนังเรื่องนี้
ผู้กำกับมาดเซอร์
วันหนึ่ง มีผู้กำกับคนนึงมาดเซอร์ๆที่ใส่เสื้อกล้าม ขาสั้น รองเท้าแตะ ทำโฆษณาแชมพู แพนทีน เล่าเรื่องผู้หญิงหูหนวกสีไวโอลิน โดยลบล้างกฏของหนังโฆษณาแชมพูทั้งหมดที่เคยมีมา ไม่มี Beauty Shot ไม่มี Product demonstration เล่าเรื่องโดยเล่นกับอารมณ์ของคนล้วนๆใช้ภาพที่ดูจริงแต่ทรงพลังอย่างมาก
หนังเรื่องนี้เจ๋งถึงขนาดได้รับการโหวตโดยครีเอทีฟและผู้กำกับทั่วโลกให้โค่นตำแหน่งของ “1984” ของ ริดลีย์ สก็อตต์ ที่ครองแชมป์มายี่สิบกว่าปีลงได้
ถูกครับ ผู้กำกับคนนี้คือ “พี่ต่อ”
พี่แก่บอกว่าทั้งหมดนี่มาจากความเพียรที่เกินมนุษย์ของพี่ต่อ
ถ้าเชื่ออะไร แล้วลงมือทำ ทำ ทำ ทำ จนผลงานเป็นที่ประจักษ์
เรื่องนี้อาจเป็นเรื่องที่หลายคนมองว่า “พื้นฐาน” มากไม่ต้องเอามาเขียนก็ได้
แต่ผมคิดว่าไม่เลยครับ หลายคนทิ้งความฝันของตัวเองกลางทาง เพราะเสียงคนรอบข้างดังกว่าเสียงในใจของเราเอง …มันเป็นเรื่องที่น่าเสียดายจริงๆ
ผมเชื่อแล้วจริงๆว่า แม้ว่าคนจะมองว่าความฝันของผมห่างไกลแค่ไหน หรือบ้าแค่ไหน แต่ถ้าผมทำไม่หยุด วันนึงดีไซน์เนอร์คนนั้นจะบินมาหาผมจริงก็เป็นได้
พี่ต่อเป็นตัวอย่างที่ผมเห็นกับตาเลยว่าอะไรก็เกิดขึ้นได้
ขอแค่เราฟังเสียงในใจเรา
และลงมือทำมัน
วันนี้… ตอนนี้
อีกทีนะครับ
“อย่าให้เสียงของใครมาดังกว่าเสียงในใจของเราเอง”