จากภาวะสงครามที่เกิดขึ้นระหว่างประเทศรัสเซียและยูเครน ส่งผลให้มาตรการคว่ำบาตรรัสเซียมีความรุนแรงและยาวนานขึ้น ทำให้ ณ ขณะนี้ ราคาสินค้าที่มีความจำเป็นต่อการดำรงชีพมีราคาพุ่งสูงขึ้นตามไปด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งราคาน้ำมัน ซึ่งเป็นทรัพยากรที่สำคัญและจำเป็นต่อการใช้งานของคนและธุรกิจทั่วโลก
ล่าสุดวันนี้ (7 มีนาคม 2022) สำนักข่าว Bloomberg ได้รายงานถึงสภาวะราคาน้ำมันของรัสเซียที่สูงถึง 139 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อหนึ่งบาร์เรล หลังจากเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาสหรัฐฯ ได้มีการหารือเรื่องการปิดช่องทางการเดินเรือขนส่งน้ำมันดิบของรัสเซีย ทำให้ตลาดน้ำมันดิบมีความตึงเครียดสูง อีกทั้งยังพบว่า ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ (น้ำมันที่ได้มาจากแหล่งผลิตในทะเลเหนือ ระหว่างเกาะอังกฤษและคาบสมุทรสแกนดิเนเวีย) พุ่งสูงจากเดิม 18% ก่อนที่ราคาน้ำมันจะขยับขึ้นมา 9% ในวันจันทร์
ขณะที่บรรดานักธุรกิจ ผู้ประกอบการขนส่ง บริษัทประกัน หรือแม้แต่สถาบันทางการเงิน ต่างมีความวิตกกังวล เนื่องจากอาจต้องใช้เงินทุนที่มีจำนวนสูงขึ้น ทางด้านเรือขนส่งสินค้ารัสเซียเองก็ได้รับความเสี่ยงสูงเช่นเดียวกัน อีกทั้งยังมีข่าวว่าราคาน้ำมันอาจสูงขึ้นไปอีกในสัปดาห์ที่จะถึงนี้
อย่างไรก็ตามทั้งประเทศซาอุดีอาระเบีย และประเทศลิเบีย กล่าวไปในทิศทางเดียวกันว่า เนื่องจากสถานการณ์ทางการเมืองที่เกิดขึ้น ส่งผลทำให้อัตราการผลิตของทั้งสองประเทศลดลง ซึ่งทางด้าน Mike Muller ประธานบริษัท Vitol Asia ระบุว่า ขณะนี้โลกกำลังเผชิญกับความเสี่ยง จากการที่ประเทศแถบตะวันตกไม่สามารถใช้น้ำมันจากรัสเซียในปริมาณที่มากเช่นเดิมได้อีกแล้ว
นอกจากนี้ยังมีคาดการณ์ว่า ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ จะพุ่งสูงขึ้นอีก 5.1 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อหนึ่งบาร์เรล ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงจุดดุลยภาพระหว่างอุปสงค์ และอุปทานที่จะมีความตึงเครียดมากยิ่งขึ้น อาจส่งผลให้ราคาน้ำมันขยับขึ้นไปอีกถึง 3.77 ดอลลาร์สหรัฐฯ ภายในวันศุกร์นี้
ขณะที่กองทุนเงินระหว่างประเทศ (IMF) ได้ออกมาระบุว่า จากภาวะสงครามที่เกิดขึ้น รวมถึงมาตรการการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจต่อรัสเซีย จะส่งผลให้เกิดผลกระทบที่รุนแรงต่อเศรษฐกิจโลก นอกจากนี้ปัจจัยราคาน้ำมันหรือพลังงานเชื้อเพลิงที่สูงขึ้น จะทำให้ระบบเศรษฐกิจโลกมีความผันผวน และเข้าสู่ความตึงเครียดทางเศรษฐกิจได้ในอนาคต
อ้างอิง:
https://bloom.bg/3IQRvkX
#missiontothemoon
#missiontothemoonpodcast
#worldnews