สำนักข่าว The Guardian รายงานว่าเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา สื่อโซเชียลมีเดียยักษ์ใหญ่อย่าง Facebook ได้ทำการปล่อยฟีเจอร์วิดีโอสั้น หรือที่เรียกว่า “Reels” ให้ผู้ใช้งานทั่วโลกได้ใช้งาน หวังกระตุ้นให้ผู้คนกลับมาใช้ Facebook ตามเดิม หลังจากที่ Facebook มีจำนวนผู้ใช้งานลดน้อยลงเป็นอย่างมากในช่วงที่ผ่านมา โดย Facebook คาดว่า การปล่อยฟีเจอร์ Reels นั้นจะสามารถสร้างความนิยมได้อีกครั้ง โดยเฉพาะในกลุ่มวัยรุ่น หลังจากพบว่าผู้ใช้งานที่เป็นวัยรุ่นหรือคนรุ่นใหม่นั้นมีจำนวนลดลงต่อเนื่องนับตั้งแต่ปี 2012 เป็นต้นมา
ทั้งนี้ จากความนิยมที่เพิ่มขึ้นของแอปพลิเคชัน TikTok ส่งผลให้ Meta บริษัทแม่ของ Facebook ในปัจจุบันตัดสินใจปล่อยฟีเจอร์ Stories ลงบน Instragram ในปี 2020 และบนแพลตฟอร์ม Facebook เมื่อปี 2021 ที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม ก็มีกระแสวิพากษ์วิจารณ์ถึงกลยุทธ์การแข่งขันทางการตลาด จากการที่ Facebook เลือกใช้ฟีเจอร์ซึ่งมีความคล้ายคลึงกับแพลตฟอร์มอื่นๆ มาเป็นจุดขายสำคัญ
ซึ่งฟีเจอร์ Reelsได้เปิดให้บริการบนแพลตฟอร์มอย่าง Facebook และ Instragram โดยเริ่มจากประเทศสหรัฐฯ และประเทศอื่นๆ ตามมาในภายหลัง ทำให้ในปัจจุบัน มีผู้ใช้งานฟีเจอร์ Reelsกว่า 150 ประเทศทั่วโลก
ฟีเจอร์ Reels เป็นฟีเจอร์ที่จะทำให้จำนวนผู้ใช้งานบน Facebook กลับมาสูงขึ้น
เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา Mark Zuckerberg ประธานบริษัท Meta ได้โพสต์ผ่านบัญชี Facebook ส่วนตัวว่า ฟีเจอร์ Reels เป็นฟีเจอร์ที่จะทำให้จำนวนผู้ใช้งานบน Facebook กลับมาสูงขึ้น และเป็นวิธีที่เร็วที่สุด ซึ่งปัจจุบันทาง Facebookกำลังทำให้ผู้ใช้งานสามารถใช้งานฟีเจอร์ Reels ได้ทั่วโลก นอกจากนี้ยังกล่าวว่า ผู้ใช้งานฟีเจอร์ Reels จะสามารถสร้างรายได้จากการสร้างคลิปวิดีโอที่มีความคิดสร้างสรรค์ได้อีกด้วย โดย Facebook กำลังที่จะวางแผนสำหรับการโฆษณาบน Reels และทำการระบุผู้ใช้งานที่สามารถทำเงินจากการลงคลิปวิดีโอบน Reels ได้
ขณะที่ Meta ออกมาชี้แจงเมื่อเดือนที่แล้วว่า บริษัทอาจจะมีอัตราการเติบโตของรายได้ที่ลดลงในไตรมาสที่จะถึงนี้ เนื่องจากการแข่งขันทางการตลาดที่สูงขึ้นของสื่อโซเซียลมีเดียในปี 2022 อีกทั้งฟีเจอร์ Reels ก็เป็นฟีเจอร์ที่สร้างรายได้ให้ Facebook ไม่มากนัก
อย่างไรก็ตาม บริษัท Meta ได้ออกมาประกาศว่า ฟีเจอร์ Reels จะทำการอัปเดต และย้ายไปอยู่ในสตอรี่บน Facebook เพื่อให้ผู้ใช้งานเห็นคลิปวิดีโอที่น่าสนใจบนหน้าฟีดได้ง่ายมากขึ้น
อ้างอิง:
https://bit.ly/3h96qe9
#missiontothemoon
#missiontothemoonpodcast
#worldnews