เพราะอะไร คนรวยสิงคโปร์ที่มีรายได้สูงและอยู่ในประเทศที่พัฒนาแล้ว จึงมีความสุขน้อยกว่าคนรวยจากประเทศไทย?
เมื่อวันที่ 2 พ.ย. 2566 ที่ผ่านมา มีผลสำรวจจาก Lombard Odier ไพรเวทแบงก์ระดับโลกจากสวิตเซอร์แลนด์ที่เผยว่าเหล่า “คนรวย” ในสิงคโปร์ (ผู้ที่มีความมั่งคั่งมากกว่า 1 ล้านเหรียญสหรัฐ) มีความพึงพอใจในด้าน Work-Life Balance น้อยที่สุด โดยมีเพียง 30% ของคนรวยสิงคโปร์ที่พอใจกับ Work-Life Balance ของตัวเอง ซึ่งเป็นสัดส่วนที่ต่ำที่สุดในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก
ส่วนทางด้านคนรวยไทยก็ได้คะแนนนำโด่งจนกลายเป็นอันดับหนึ่งด้านความสุขในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ด้วยผลการสำรวจว่า 72.7% ของคนรวยไทยนั้นพอใจกับ Work-Life Balance ตามมาด้วยออสเตรเลีย
รายได้เยอะที่สุด แต่ทำไม “คนรวย” สิงคโปร์ถึงมีความสุขน้อยที่สุดในเอเชียแปซิฟิก?
นอกจากสิงคโปร์เป็นประเทศที่มี GDP ต่อหัวสูงเป็นอันดับที่ 5 ของโลกแล้วนั้น รองลงมาจากลักเซมเบิร์ก นอร์เวย์ ไอร์แลนด์ สวิตเซอร์แลนด์ และกาตาร์ นอกจากนี้สิงคโปร์ยังเป็นที่รู้จักว่าเป็นประเทศที่มีการพัฒนาทางด้านเทคโนโลยีมากที่สุดในโลกอีกด้วย
แต่ถ้าลองติดตามรายงานของสื่อที่ออกมาในช่วงปีหลังๆ มานี้จะพบว่าชาวสิงคโปร์มักจะเป็นชาติที่ได้รับรายงานว่ามีความทุกข์ ความกดดันและการทำงานหนักเป็นอันดับต้นๆ ของโลก โดย 1 ในรายงานที่ตอบคำถามนี้ได้ดีที่สุด คงจะหนีไม้พ้นรายงานของ The Instant Group ที่มีการระบุว่ากลุ่มคนรวยในสิงคโปร์กลับมีความสุขน้อยกว่าประเทศที่ GDP ต่อหัวน้อยกว่าอย่างไทยและออสเตรเลียมาก
ซึ่งสาเหตุหลักคือเวลาในการทำงานที่สูงมากเกินไปและค่านิยม Work is life, Life is work ที่พยายามผสานรวมชีวิตและการทำงานให้เป็นหนึ่งเดียวกัน โดยพบว่าชาวสิงคโปร์ 26% ที่ทำแบบสอบถามนั้นมีการทำงานล่วงเวลาบ่อยครั้ง อีกทั้งสิงคโปร์เป็นประเทศที่คนส่วนใหญ่ใช้เวลาในการทำงานอยู่ในกลุ่มที่สูงที่สุดในเอเชียแปซิฟิก โดยอยู่ที่ 45 ชั่วโมงต่อสัปดาห์หรือวันละ 9 ชั่วโมงเลยทีเดียว
ทั้งนี้ เนื่องจากชาวสิงคโปร์มีค่านิยมว่า “ความสำเร็จต้องแลกมาด้วยแรงกดดันในการทำงาน” ทำให้สังคมสิงคโปร์ค่อนข้างมีบรรยากาศการแข่งขันกันตลอดเวลาตั้งแต่การแข่งขันเพื่อสอบเข้าในโรงเรียนและมหาวิทยาลัยในฝัน การแข่งขันกันในวัยทำงาน หรือแม้แต่การแข่งขันเพื่อแย่งชิงทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัดในประเทศ อีกทั้งค่าครองชีพที่สูงขึ้น และแรงงานชาวต่างชาติที่หลั่งไหลเข้ามาแย่งงานชาวสิงคโปร์ ทำให้เกิดความรู้สึกไม่ปลอดภัยและไม่มีความสุขในหมู่ประชาชนสิงคโปร์ ถึงแม้ว่าพวกเขาจะมีรายได้ที่มากก็ตาม แต่รายได้นั้นก็ไม่ได้การันตีความสุขในชีวิต
“คนรวย” ไทยมีความสุขนำเป็นอันดับ 1 ในเอเชียแปซิฟิก
ทางด้านประเทศไทยนั้นเราจะพบว่า “คนรวย” ในไทย (หรือผู้ที่มีความมั่งคั่งมากกว่า 1 ล้านเหรียญสหรัฐ) มีความพึงพอใจสูงสุดในด้าน Work-Life Balance ที่ต่างกันลิบลับกับสิงคโปร์ถึง 72.7% ของผู้ตอบแบบสอบถาม ตามมาด้วยออสเตรเลียและฟิลิปปินส์
ถ้าลองสังเกตวิถีการใช้ชีวิตของประเทศอื่นๆ ที่มีคะแนนด้านความสุขในระดับที่สูงก็จะพบว่าคนในประเทศเหล่านั้นให้ความสำคัญกับ Work-Life ที่สูงด้วยเช่นกัน อย่างเช่นชาวออสเตรเลียที่มีการให้ความสำคัญกับ Work-Life Balance การพักผ่อน กิจกรรมหลังเลิกงาน หรือผลสำรวจ What Job Seekers Wish Employers Knew: Unlocking the Future of Recruitment ที่เผยว่าชาวฟิลิปปินส์ส่วนใหญ่ไม่ได้มองหาแค่งานที่มั่นคงเท่านั้น แต่ยังมองหางานที่ต้องมี Work-Life Balance อยู่ในเกณฑ์ที่ดีด้วย
จากผลการจัดอันดับดัชนีประเทศที่มีความสุขที่สุดในโลกจาก World Happiness Report ประจำปี 2566 พบว่าคนไทยโดยรวมนั้น มีความสุขเป็นอันดับที่ 60 จาก 137 ประเทศทั่วโลก โดยมีคะแนนมุมมองต่อการทุจริตอยู่ที่ 0.013 และ GDP ต่อหัว 1.515 คะแนนหรือเป็นอันดับที่ 91 ของโลกซึ่งถือว่ามีรายได้ต่อหัวในเกณฑ์ที่ต่ำ ซึ่งหากลองพิจารณาแล้วจะพบว่าประเทศไทยก็อาจจะไม่ใช่ประเทศที่ดีที่สุดในแง่ของชีวิตความเป็นอยู่ของคนทั่วไป รวมทั้งในแง่ค่าตอบแทนของแรงงานทั่วไปที่น้อยกว่าสิงคโปร์อย่างมากอีกด้วย
แต่สำหรับคนรวยซึ่งเป็นคนส่วนน้อยในไทยแล้วกลับมีความสุขเป็นอันดับ 1 ในแถบเอเชียแปซิฟิกที่ใช้ Work-Life Balance เป็นมาตรวัด เมื่อการเงินไม่ใช่ปัญหาของคนกลุ่มนี้แล้วจึงสามารถกลับมาดูที่ค่านิยมในการแข่งขันเทียบกับสิงคโปร์
โดยประเทศไทยมีวัฒนธรรมและค่านิยมในการแข่งขันที่ไม่ได้สร้างแรงกดดันให้กับคนไทยมากเท่ากับคนสิงคโปร์ หรือแม้แต่คำพูดติดปากของคนไทยอย่าง “สบายๆ” หรือ “ไม่เป็นไร” อาจเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ทำให้คนรวยในไทยที่ไม่มีปัญหาด้านการเงินนั้น มีความเครียดน้อยกว่าและมีความสบายใจในการใช้ชีวิตมากกว่าคนรวยในสิงคโปร์มาก
ในขณะที่ชาวสิงคโปร์รุ่นใหม่นั้นเริ่มที่จะออกมาจากความกดดันของสังคมสิงคโปร์กันมากขึ้น จากการต่อต้านแนวคิด “Work is life, Life is work” เพื่อที่จะได้กลับมา “ทำงานอย่างมีสมดุล” อีกครั้ง นอกจากนี้ยังพบว่าการถ่ายโอนความมั่งคั่งของคนรวยในสิงคโปร์จากรุ่นก่อนมายังวัยรุ่นหนุ่มสาวสิงคโปร์ในยุคนี้ก็อาจจะมีส่วนช่วยทำให้ดัชนีความเครียดของชาวสิงคโปร์ลดลงด้วยเช่นกัน
การสำรวจครั้งนี้ทำให้เราได้รับคำตอบที่เกี่ยวกับความสำคัญของ “Work-Life Balance” กับคนทำงานในปัจจุบันได้เป็นอย่างดี เพราะปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเงินเป็นปัจจัยที่ตอบโจทย์ในเรื่องของคุณภาพชีวิต แต่สุดท้ายแล้วหากเรามีเวลาว่างให้กับการพักผ่อน มีเวลาใช้เงินที่ได้จากน้ำพักน้ำแรงของเราได้อย่างมีคุณภาพ และสามารถแบ่งเวลางานกับการพักผ่อนได้อย่างชัดเจน เราก็อาจจะพบกับความสุขในชีวิตได้มากขึ้น
อ้างอิง
Singapore’s rich are the most unhappy in Asia with work-life balance : The Business Times – https://bit.ly/3Mr75rC
Singapore’s rich the most unhappy in Asia with work-life balance: Survey : The Straits Times – https://bit.ly/3Qu57I8
Singapore the ‘least positive’ country in the world: survey : Daniel Teo, Yahoo! News – https://bit.ly/3QMJq7x
Ayaw sa toxic: Study says jobseekers want work-life balance : Jessica Fenol and Jekki Pascual, ABS-CBN News – https://bit.ly/3MrhrHF
#trend
#millionaire
#happiness
#missiontothemoon
#missiontothemoonpodcast
