PODCASTMISSION TO THE MOON7 ข้อคิดเรื่องการสร้าง Network ให้ Work โดย คุณเล้ง ศิริวัฒน์ วงศ์จารุกร CEO, MFEC จากงาน...

7 ข้อคิดเรื่องการสร้าง Network ให้ Work โดย คุณเล้ง ศิริวัฒน์ วงศ์จารุกร CEO, MFEC จากงาน Mission To The Moon Forum 2023

คุณคิดว่าอะไรเป็นทักษะสำคัญที่จะทำให้เราประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน?

เชื่อว่าคำตอบของใครหลายๆ คนก็คงจะแตกต่างกันออกไป บ้างก็อาจจะตอบว่าทักษะของความกระหายที่จะอยากเรียนรู้อยู่ตลอดเวลา บ้างก็อาจจะตอบว่าทักษะของความเป็นผู้นำ ซึ่งแน่นอนว่าทักษะเหล่านี้มีความสำคัญต่อความสำเร็จของเราจริง แต่ก็ถือเป็นส่วนหนึ่งเท่านั้น เพราะยังมีอีกหนึ่งทักษะที่เราไม่ควรมองข้าม คือ “ทักษะการสร้างปฏิสัมพันธ์” หรือ “Networking”

ปฏิเสธไม่ได้ว่าในโลกแห่งการทำงานและการทำธุรกิจ “ทักษะของการสร้างปฏิสัมพันธ์” มีความสำคัญเป็นอย่างมาก เพราะทักษะนี้จะช่วยเปิดโลกกว้างและเปิดประตูสู่โอกาสใหม่ๆ ให้กับตัวเราเอง ไม่ว่าจะเป็นความรู้ แนวคิด ศักยภาพ และความสัมพันธ์ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นตัวการสำคัญที่จะช่วยผลักดันเราไปสู่ความสำเร็จในอาชีพ

วันนี้ Mission To The Moon จะพาทุกคนไปส่อง 7 ข้อคิดเรื่องการสร้าง Network ให้ Work ผ่าน Session “The Art of Networking พัฒนาทักษะสร้างปฏิสัมพันธ์ เพื่อการเติบโตในหน้าที่การงาน” โดย “คุณเล้ง – ศิริวัฒน์ วงศ์จารุกร ประธานกรรมการบริหาร MFEC” จากงาน Mission To The Moon Forum 2023

1. “คนที่เก่งที่สุดกับคนที่ประสบความสำเร็จที่สุดเป็นคนละกลุ่มกัน ความเก่งช่วยให้เราประสบความสำเร็จแค่ 30% สิ่งแวดล้อมที่เราไปอยู่ถูกที่ถูกทางต่างหาก ที่เป็นตัวผลักดันให้เราประสบผลสำเร็จอย่างแท้จริง”

ไส้ใน1 สรุปSession6


ในโลกปัจจุบัน คนที่จะเป็นผู้นำไม่ใช่ Alpha Male หรือ “คน” ที่แข็งแรงที่สุดและเก่งที่สุดอีกต่อไป แต่เป็น “กลุ่ม” ที่แข็งแรงที่สุดและเก่งที่สุดต่างหาก เพราะมนุษย์เรานั้นเป็นสัตว์สังคม

มีงานวิจัยจากคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ค้นพบข้อมูลที่น่าสนใจว่า คนที่เรียนเก่งที่สุดกับคนที่ประสบความสำเร็จที่สุดเป็นคนละกลุ่มกัน คนที่เรียนสูงที่สุดในแต่ละกลุ่มกับคนที่ประสบความสำเร็จก็เป็นคนละกลุ่มกัน และคนที่มีพื้นฐานครอบครัวที่ร่ำรวยที่สุดกับคนที่ประสบความสำเร็จที่สุดก็เป็นคนละกลุ่มกัน ซึ่งนั่นก็หมายความว่า ความสำเร็จไม่ได้อยู่ที่ความฉลาด การเรียนสูง หรือพื้นฐานครอบครัว

แล้วมันอยู่ที่อะไรกันแน่?

คุณเล้งได้เริ่มต้นอธิบายไว้ว่า สมมติว่าคนสองคนจบที่เดียวกัน เกรดเท่ากัน และเข้าทำงานที่เดียวกัน ถ้าเวลาผ่านไป 10 ปี สองคนนี้จะมีความสำเร็จที่เท่ากันหรือไม่ เชื่อว่าหลายคนก็คงจะตอบได้ว่า “ไม่”

แล้วถ้าสมมติว่า คนหนึ่งจบเกียรตินิยม แต่อีกคนจบมาแบบคาบเส้น จำเป็นไหมว่าในอีก 10 ปีข้างหน้า คนที่เรียนเก่งกว่าจะประสบความสำเร็จมากกว่า? คำตอบคือ “ไม่จำเป็น”

แล้วอะไรเป็นสิ่งที่ทำให้คนสองคนแตกต่างกัน?

สิ่งนั้นคือ “Networking” เพราะในความเป็นจริงแล้ว ความเก่งของเราช่วยให้เราประสบความสำเร็จแค่ 30% สิ่งแวดล้อมที่เราไปอยู่ถูกที่ถูกทางต่างหากที่เป็นตัวผลักดันให้เราประสบผลสำเร็จอย่างแท้จริง

ซึ่งเมื่อพูดถึงคำว่า Networking บางคนอาจคิดว่ามันคือสิ่งที่ไม่ดี เพราะมองว่ามันคือเรื่องของเส้นสาย แต่จริงๆ แล้ว เส้นสายจะมีความเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์โดยตรง แต่ Network คือสิ่งที่อยู่รอบตัวเรา เช่น เพื่อน คู่ค้า ลูกน้อง เพื่อนร่วมงาน และหัวหน้า ซึ่ง Network ที่ก่อให้เกิดผลประโยชน์มันเป็นแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น

2. “Network ที่ไม่ดีอาจทำให้เราเสียเวลาช่วงหนึ่งของชีวิตไป บางทีความทุกข์ของเรา 80% มันเกิดจาก Network รอบข้างที่ไม่ดี เพราะฉะนั้นการมีคนรอบข้างที่ดีจึงเป็นสิ่งจำเป็น”

ไส้ใน2 สรุปSession6


Network มีทั้งดีและไม่ดี โดย Network ที่ดีจะทำให้เราอยู่ในเส้นทางที่ถูกต้อง เช่น ถ้าเราทำธุรกิจแล้วมีลูกน้องเก่งๆ และมีลูกค้าดีๆ สุดท้ายมันก็ทำให้ธุรกิจเดินหน้าต่อไปได้ แต่ในทางกลับกัน Network ที่ไม่ดีอาจทำให้เราเสียเวลาช่วงหนึ่งของชีวิตไป บางทีความทุกข์ของเรา 80% มันเกิดจาก Network รอบข้างที่ไม่ดี เพราะฉะนั้นการมีคนรอบข้างที่ดีจึงเป็นสิ่งจำเป็น

เหมือนอย่างคำที่เราต่างก็เคยได้ยินกันว่า “อยู่กับคนแบบไหน เราก็จะกลายเป็นคนแบบนั้น” ซึ่งก็ตรงกับงานวิจัยของคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่ได้ข้อสรุปว่า Quality of Your Success = Quality of Your Network ถ้าเราสามารถสร้างคุณภาพของคนที่อยู่รอบตัวได้ เราก็จะประสบความสำเร็จในทุกๆ ด้านที่เราต้องการจะไป

3. “Network ที่มีคุณภาพจะมีความสมดุลระหว่างการให้และการรับ ทุกคนจะมีบางจังหวะที่เป็นคนให้และบางจังหวะที่เป็นคนรับ ถ้าคนรอบข้างมีแต่คนรับหมด เราก็แย่ ในขณะเดียวกัน ถ้าเรารับจากคนอื่นหมดแต่ไม่ให้เลย เราก็จะอยู่ไม่ได้”

ไส้ใน3 สรุปSession6


ทักษะการสร้างปฏิสัมพันธ์ถือเป็นทักษะสำคัญอันดับต้นๆ เพราะถ้าเราอยู่ในทางที่ถูกที่ควรมันก็จะทำให้เรามีความสุข ธุรกิจเติบโตและมีความยั่งยืน แต่ถ้าเราอยู่ในวงความสัมพันธ์ที่ผิดที่ผิดทาง เราก็จะเหมือนอยู่ท่ามกลางกิเลส เช่น มองไปทางซ้ายแล้วเจอคนที่ยอมตายไม่ยอมเสียเปรียบ มองไปทางขวาก็เจอคนเอาเปรียบไม่คิดชีวิต ถ้าเราอยู่ท่ามกลางคนเหล่านี้ ต่อไปในอนาคตเราก็ต้องไปเอาเปรียบคนอื่นต่อเพื่อให้ตัวเองอยู่รอด

ในทางกลับกัน หากเรามี Network ที่ดีและมีความสมเหตุสมผล ก็จะทำให้เราเติบโตไปในทิศทางที่ดี รวมถึงเราก็จะไม่เกิดความเครียดและอะไรหลายๆ อย่างที่ไม่จำเป็นต่อชีวิต เพราะฉะนั้นแล้ว ถ้าพูดถึงในมุมมองของการทำธุรกิจ Network คือสิ่งสำคัญอันดับหนึ่ง

ซึ่งคุณเล้งก็ได้เล่าต่อว่า Network ที่มีคุณภาพจะมีความสมดุลระหว่างการให้ (Give) และการรับ (Take) ทุกคนจะมีบางจังหวะที่เป็นคนให้และบางจังหวะที่เป็นคนรับ ถ้าคนรอบข้างมีแต่คนรับหมด เราก็แย่ ในขณะเดียวกัน ถ้าเรารับจากคนอื่นหมดแต่ไม่ให้เลย เราก็จะอยู่ไม่ได้ เพราะฉะนั้นเราต้องเป็นทั้งผู้ให้และผู้รับอย่างมีความสมดุล

4. “ทักษะสำคัญในการสร้างสายสัมพันธ์คือ ความสามารถในการดู โดยทั่วไปเราแยกระหว่างคนดีกับคนไม่ดีออกอยู่แล้ว แต่อีกสิ่งหนึ่งที่เราต้องแยกให้ออกคือ คนดีกับคนดีมาก ถ้าเราไม่ฝึกการอ่าน การสังเกต และการดู เราก็จะมองไม่เห็น”

ไส้ใน4 สรุปSession6


เชื่อว่าหลายคนอาจจะรู้สึกกันว่า การที่เราจะสร้าง Network ที่ดีได้ แค่ต้องมีทักษะในการพูดและเข้าหาคนเก่ง แต่ในมุมมองของคุณเล้งแล้ว คิดว่าทักษะสำคัญที่ควรมีคือ ความสามารถในการดูคน หรือการดูว่าคนไหนเป็นคนดีหรือไม่ดี ซึ่งโดยปกติแล้ว เราทุกคนมีอัลกอริทึมของตัวเองในการแยกระหว่างคนที่ดีกับคนที่ไม่ดีออกจากกันอยู่แล้ว

ซึ่งการดูคนก็เปรียบเสมือนกับการดื่มไวน์ ถ้าเราอยากเป็นนักชิมไวน์ เราก็ต้องดื่มเยอะๆ และเทรนลิ้นของเราบ่อยๆ ถ้าเราเริ่มมีประสบการณ์ เราก็จะเริ่มแยกออกระหว่างไวน์ราคา 300 บาท กับไวน์ราคา 3,000 บาท แต่ด้วยความที่เราไม่ได้เป็นมืออาชีพ เราก็จะแยกระหว่างไวน์ดีกับไวน์ดีมากไม่ออก

คนก็เหมือนกัน เราแยกระหว่างคนไม่ดีกับคนดีได้ง่าย แต่อีกสิ่งหนึ่งที่เราจำเป็นต้องแยกให้ออกคือ คนดีกับคนดีมาก เพราะถ้าเราแยกไม่ออก เราก็อาจจะสูญเสียคนดีมากไป

แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าคนไหนเป็นเพื่อนที่ดีและคนไหนเป็นเพื่อนที่ดีมาก?

คุณเล้งได้ให้คำแนะนำไว้ว่า ถ้าเราไม่ฝึกการอ่าน การสังเกต การดู เราก็จะมองไม่เห็น เช่น ถ้าเราสนิทกับใครสักคนมากๆ พอถึงเวลาที่เราประสบความสำเร็จ เพื่อนคนนั้นจะรู้สึกอย่างไร
1) เพื่อนคนนั้นดีใจกับเรา แล้วความสำเร็จของเราก็เป็นแรงบันดาลใจให้กับเขา
2) เพื่อนคนนั้นรู้สึกเศร้าทุกทีที่รู้ว่าเราประสบความสำเร็จ ซึ่งคนแบบนี้มีเยอะมากในชีวิตจริง
3) เพื่อนคนนั้นรู้สึกอิจฉาริษยา หรือเวลาที่เราทำอะไรผิดพลาด เขามักจะดีใจและซ้ำเติมกับสิ่งที่เราทำผิดพลาด

เราต้องมีความใส่ใจและสังเกตสิ่งเหล่านี้ให้ออก เพราะถ้าเราไม่สามารถทำได้ เราก็อาจจะไม่สามารถมี Network ที่มีคุณภาพได้

Advertisements

5. “Network เราจะดีหรือไม่ดีอยู่ที่จังหวะการเข้าทำ หมายความว่าเราต้องรู้ว่าจังหวะไหนจะพิชิตใจอีกฝ่ายได้ จังหวะถือเป็นสิ่งสำคัญมาก แต่คนเรามักจะทำตรงกันข้ามคือ ชอบยัดเยียดสิ่งที่อีกฝ่ายไม่ต้องการ”

ไส้ใน5 สรุปSession6


อีกสุดยอดเคล็ดวิชาที่คุณเล้งได้ให้ไว้ในเรื่องการสร้าง Network คือคำว่า “จังหวะการเข้าทำ” หมายความว่า ถ้าเราเป็นพนักงานขายประกันชีวิตเก่งๆ ณ จังหวะหนึ่งเราจะรู้ว่าจังหวะไหนที่เข้าไปแล้วจะสามารถปิดการขายได้ หรือสมมติถ้าเราจีบใครเก่งๆ เราก็จะรู้ว่าจังหวะไหนถึงจะพิชิตใจฝ่ายตรงข้ามได้

โดยคุณเล้งก็ได้อธิบายให้เราเห็นภาพต่อไปอีกว่า สมมติมีน้ำขวดละ 10 บาท ถ้าเราเดินหลงป่าตอนเที่ยง พอออกมาได้ก็จะรู้สึกกระหายน้ำ ประจวบเหมาะกับตรงนั้นมีน้ำขายอยู่พอดี ซึ่งขวดนี้ถ้าขายในราคา 5,000 บาท เราก็ซื้อ เพราะไม่ไหวแล้ว แต่กลับกัน ถ้าอยู่ในจังหวะที่เราเพิ่งทานข้าวมาอิ่มๆ มีคนเดินเอาน้ำมาให้ฟรีๆ เรายังไม่อยากถือไว้เลย

จังหวะการเข้าทำถือเป็นสิ่งสำคัญมาก แต่คนเรามักจะทำตรงกันข้ามเสมอคือ ชอบยัดเยียดสิ่งที่อีกฝ่ายไม่ต้องการ เรามักจะยัดเยียดให้น้ำขวดละ 10 บาท กับคนที่เพิ่งกินอิ่มมา แต่กับคนขาดน้ำที่แม้ราคา 5,000 บาทก็ยอมจ่าย เรากลับไม่ให้ความสำคัญ

ดังนั้น สิ่งสำคัญในการสร้าง Network คือเราต้องรู้ว่าจังหวะไหนที่เข้าทำแล้วจะสามารถสร้างสายสัมพันธ์ได้ การที่เราเข้าหาคนถูกจังหวะเพียงครั้งเดียว ก็จะทำให้ซื้อใจคนรอบข้างแล้วสร้าง Network ที่ทรงประสิทธิภาพได้ เช่น สมมติว่าพนักงานของเราทำงานผิดพลาดแล้วโดนลูกค้าด่า ถ้าเราสังเกตเห็นแล้วเข้าไปปลอบว่า “ไม่เป็นไร คนเราผิดพลาดกันได้” การที่เราเข้าไปในช่วงที่เขารู้สึกแย่ที่สุด ก็จะทำให้พนักงานคนนั้นประทับใจไปอีกนาน

6. “สิ่งที่เราควรเลิกใช้ในการสร้าง Network คือ Social Proof หรือการให้คนอื่นมาบอกว่าคนนั้นดีหรือไม่ดี วิธีที่ดีที่สุดในการดูคนคือ การใช้ตาดู หูฟัง สังเกตให้มาก แต่อย่าถาม เพราะถ้าเราถามมันจะทำให้เกิด Confirmation Bias”

ไส้ใน6 สรุปSession6


การอ่านคนเป็นอีกหนึ่งทักษะสำคัญในการสร้าง Network เพราะปัจจุบันนี้เรามีโซเชียลเข้ามา เราเห็นแค่ผิวเผินว่าแต่ละคนเป็นอย่างไร แต่ไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วแต่ละคนมีนิสัยใจคอหรือมีความสามารถอย่างไรบ้าง ซึ่งในบางครั้งเราก็อาจเจอกับ “ความไม่ตรงปก” เช่น ตัวจริงไม่เหมือนสิ่งที่เขียนไว้ในเรซูเม่

ถ้าเราอยู่ในสังคมไม่ตรงปกเช่นนี้ เราควรมีวิธีในการดูคนอย่างไร?

โดยส่วนใหญ่แล้ว หลายคนมักใช้ Social Proof หรือการให้คนอื่นมาบอกว่าคนนั้นดีหรือไม่ดี แต่จริงๆ แล้วเราต้องเลิกใช้กระบวนการเหล่านี้ แล้วมานั่งอ่านคนด้วยตัวเอง ซึ่งวิธีที่ดีที่สุดในการดูคนคือ การใช้ตาดู หูฟัง สังเกตให้มาก แต่อย่าถาม ถ้าเราไม่ถาม เราจะใช้พลังมากกว่าปกติ แต่สุดท้ายแล้ว เราก็จะเห็นอะไรมากขึ้น

แต่ถ้าเราถาม เช่น คนนั้นเก่งไหม คนนู้นขยันหรือเปล่า มันจะทำให้เกิด Confirmation Bias ที่พยายามยืนยันความเชื่อของตัวเองว่าคนนี้ต้องดีแน่ๆ ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงแล้วอาจไม่เป็นเช่นนั้นก็ได้

เพราะฉะนั้น เรื่องคนห้ามขี้เกียจ เราต้องใช้เวลาในการดูด้วยตัวเอง

7. “คนส่วนใหญ่มีการตั้งค่าเริ่มต้นของการมีเพื่อนไว้เป็น Yes เสมอ หมายความว่าถ้าใครอยากเป็นเพื่อน เราก็โอเคหมด แต่ถ้าอยากมี Network ที่มีคุณภาพ เราต้องตั้งค่าเริ่มต้นไว้เป็น No และตัดสินใจคบคนที่ตรงกับ Core Value ของเรา”

ไส้ใน7 สรุปSession6


สำหรับใครที่อยากเริ่มสร้าง Network คุณเล้งแนะนำให้เราลองคิดอีกมุมก่อนว่า ถ้าทั้งชีวิตเราทานแต่อาหารที่ไม่ดีต่อสุขภาพมาตลอด เช่น ติดทานหวานหรือทานโซเดียมเยอะ แต่วันนี้เรามีเป้าหมายว่าอยากร่างกายแข็งแรง เราต้องทำอย่างไร? แน่นอนว่า ก็ต้องเริ่มจากการเลิกทานอาหารที่ไม่ดีต่อสุขภาพ

หรือถ้าวันนี้เราอยากจะเปลี่ยนแปลงตัวเองต้องทำอย่างไร? เราก็ต้องเอากรอบที่อยู่ในหัวเราออกก่อน หรือพูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ ต้อง Unlearn หรือละทิ้งความรู้เดิม เพื่อทำให้แก้วที่มีน้ำอยู่เต็มกลายเป็นแก้วที่ว่างเปล่า เราถึงจะเปลี่ยนตัวเองได้

การคบคนก็เหมือนกัน ถ้าเราอยากมีคนรอบข้างที่ดี สิ่งแรกที่เราต้องทำคือ Unfriend หรือเลิกคบคนให้เป็นก่อน เราต้องตัดสิ่งที่ไม่ใช่ออกไปก่อน เพราะเราต้องเริ่มติดกระดุมเม็ดแรกให้ถูก เม็ดต่อๆ ไปถึงจะถูกตาม

ซึ่งโดยทั่วไปแล้ว หลายคนมักจะมีการตั้งค่าเริ่มต้นของการมีเพื่อนไว้เป็น “Yes” เสมอ หมายความว่า เรามักจะเริ่มต้นด้วยคำว่า “ใช่” เมื่อมีใครอยากคบกับเรา เราก็โอเคหมด แต่ถ้าเราอยากสร้างคุณภาพของ Network เราต้องตั้งค่าเริ่มต้นเป็น “No” หรือ “ไม่” ไว้ก่อน

คุณเล้งฝากส่งท้ายไว้ว่า เราต้องหยุดเติมสิ่งผิดๆ และสิ่งที่เป็นพิษเข้ามาในชีวิต อย่าคบทุกคนที่เข้ามา ให้คบคนที่ตรงกับ Core Value ของเรา อย่าเน้นปริมาณ ให้เน้นคุณภาพแทน เพราะการสร้าง Network ต้องสละด้วยเวลา พลัง และการเงิน เพราะฉะนั้นอย่าเอาทรัพยากรเหล่านี้ของเราไปลงทุนไว้ผิดที่

#missiontothemoonforum2023
#missiontothemoon
#missiontothemoonpodcast

Advertisements

LASTEST ARTICLES

LASTEST PODCAST

Mission To The Moon
Mission To The Moon
พื้นที่ที่สร้างขึ้นเพื่อแบ่งบันเรื่องราวเกี่ยวกับการทำธุรกิจ การตลาด แรงบันดาลใจ และข้อคิดในการใช้ชีวิต

POPULAR ARTICLES

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายคุกกี้ และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่มีความจำเป็น (Strictly Necessary Cookies)
    เปิดใช้งานตลอด

    คุกกี้ที่มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้งานและเข้าชมเว็บไซต์ได้อย่างเป็นปกติ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้ อย่างไรก็ตาม คุณสามารถบล็อคการใช้งานคุกกี้ได้จากเบราว์เซอร์ที่ใช้งาน ซึ่งอาจจะส่งผลกระทบกับการใช้งานเว็บไซต์ได้

  • คุกกี้สำหรับการวิเคราะห์และวัดผลการทำงาน (Performance Cookies)

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากคุณไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้

บันทึกการตั้งค่า