ยังวิ่งตาม Passion ได้อยู่ไหม? เข้าใจวิกฤตชีวิตคนวัย 30 ผ่านหนัง ‘Tick, tick…BOOM!’
“..หลังๆ มานี้ผมได้ยินเสียงนี้ดังอยู่ในหัวตลอดไม่ว่าจะไปไหน มันดังติ๊ก.. ติ๊ก.. ติ๊ก.. ติ๊ก..” หลายคนที่ย่างเข้าใกล้วัย 30 คงเข้าใจสิ่งนี้ดี เพราะพวกเขาสัมผัสถึงมันได้อยู่ตลอดเวลา แต่เสียงที่ว่านั้นไม่ใช่ความผิดพลาดทางเทคนิคของหูฟังหรือความผิดปกติทางการได้ยินแต่อย่างใด มันเป็นเสียงของ ‘นาฬิกาชีวิต’ ที่นับถอยเข้าสู่วัย 30 ปี
.
ติ๊ก.. ติ๊ก.. ติ๊ก.. ติ๊ก.. เสียงนาฬิกาดังถี่ขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเรามองไปยังคนรอบข้าง เพื่อนหลายคนได้แต่งงาน สร้างครอบครัวเป็นที่เรียบร้อย หลายคนได้เลื่อนตำแหน่งและมีเงินเดือนสูงลิ่ว หลายคนทำตามความฝันในการเรียนต่อต่างประเทศจนสำเร็จ และหลายคนร่ำรวยจากการเทรด ได้ใช้ชีวิตสบายๆ แบบไม่ต้องทำงานจนถึงวัยเกษียณ
.
ติ๊ก.. ติ๊ก.. ติ๊ก.. ติ๊ก.. หัวใจเราบีบแน่นขึ้นและเริ่มหายใจไม่ทั่วท้อง เมื่อต้องหันมามองชีวิตตัวเอง ชีวิตที่ยังไม่ได้ลงหลักปักฐานที่ไหน ยังไม่มีเงินเก็บก้อนโต และยังอยากวิ่งตามความฝันอยู่ แต่ไม่รู้ว่าจะทำสำเร็จไหม
.
เสียงแห่ง ‘ความวิตกกังวล’ นี้เองจึงกลายเป็นซาวนด์แทร็กประกอบภาพยนตร์ชีวิตในวัยย่างเข้า 30 ของใครหลายๆ คน หนึ่งในนั้นคือ โจนาธาน ลาร์สัน วัย 29 ปี ตัวเอกในภาพยนตร์เรื่อง ‘tick, tick… BOOM!’
.
.
‘Tick, tick… BOOM!’ จดหมายรักสู่ความฝัน ศิลปะ และเหล่าศิลปิน
.
หากใครเข้า Netflix ช่วงนี้อาจได้เห็น ‘Tick, tick… BOOM!’ ภาพยนตร์มิวสิคัลที่นำแสดงโดยแอนดรูว์ การ์ฟิลด์ (สไปเดอร์แมนจาก The Amazing Spider-Man ของเรา) ขึ้นในหน้าแนะนำอยู่บ้าง ภาพยนตร์มิวสิคัลเรื่องนี้เล่าถึงชีวิตของโจนาธาน ลาร์สัน นักแต่งเพลงและนักเขียนบทละคร เจ้าของละครมิวสิคัลแนวร็อก-โอเปร่า ชื่อดังในยุค 90 อย่าง ‘Rent’
.
ฟังดูเป็นหนังชีวประวัติธรรมดาๆ แต่ทำไมคนดูพากันประทับใจจนเสียน้ำตากันทุกราย!?!
.
ถึงหนังจะเล่าถึงชีวประวัติของนักเขียน (ที่หลายๆ คนไม่รู้จักเลย) แต่สิ่งที่ทำให้หลายคน ‘อิน’ จนร้องไห้สะอึกสะอื้นเป็นเพราะหนังได้พูดถึงความกดดันที่คนวัย 30 ต้องเผชิญได้เป็นอย่างดี
.
โจนาธาน ลาร์สัน ตัวเอกของเรื่องนั้นอยู่ในวัย 29 กำลังจะย่างเข้า 30 ภายในอีกไม่กี่วัน เขาใช้เวลาหลายปีในการเขียนบทละครเรื่องหนึ่งขึ้นมา เขาคาดหวังอย่างมากว่าจะสำเร็จและโด่งดังจนได้ก็คราวนี้ อย่างไรก็ตาม ปัญหามันมีอยู่ว่าเพลงหลักของเรื่องนั้น เขายังแต่งไม่สำเร็จ ไหนจะต้องอยู่ด้วยรายได้อันน้อยนิดจากการเป็นเด็กเสิร์ฟ ซึ่งแทบไม่พอจ่ายค่าน้ำค่าไฟ ในขณะเดียวกันก็ต้องเจอกับความกดดันจากแฟนสาวที่คาดหวังให้เขาพร้อมพัฒนาความสัมพันธ์ไปอีกก้าว และชีวิตที่มั่นคงของเพื่อนสนิทที่ทิ้งฝันแบบศิลปิน ไปเป็นพนักงานเงินเดือน
.
เขาต้องเลือกแล้ว ระหว่าง ‘ความฝัน’ หรือ ‘ความมั่นคง’
.
สิ่งที่โจนาธานต้องเผชิญนั้นไม่ต่างจากคนวัยใกล้ 30 คนอื่นๆ ต้องเจอ ไม่ว่าจะเป็น การตัดสินใจครั้งสำคัญ ความกดดันทั้งในด้านการงาน การเงิน และความสัมพันธ์
.
เท่านั้นยังไม่พอ หนังยังพูดถึงประเด็นความกังวลต่างๆ ที่เหล่าสายผลิตหรืออาชีพ ‘ศิลปิน’ ต้องเจอ เช่น ความฝันที่วิ่งตามมาตลอด แต่ตอนนี้เริ่มดูเลือนลาง
หรือความเชื่อที่ว่า ‘Passion สำคัญกว่าเงินเดือน’ ที่เคยเชื่อสุดใจนั้นเริ่มสั่นคลอน เพราะในวัยนี้ ชีวิตมั่นคงของคนรอบข้างนั้นก็ดูหอมหวานเหลือเกิน..
.
เพราะคงไม่มีใครเข้าใจศิลปินไปมากกว่าศิลปินด้วยกันเองแล้ว
ในอีกแง่ ภาพยนตร์เรื่องนี้จึงไม่ต่างจาก ‘จดหมายรัก’ สู่เหล่านักสร้างสรรค์ทุกคน
.
.
รู้จักกับ Quater-life Crisis วิกฤตชีวิตของคนวัย 30
.
ช่วงก่อนเราอาจได้ยินคำว่า Midlife crisis หรือวิกฤตของคนวัยกลางคนอยู่บ่อยๆ แต่หลายปีให้หลังมานี้ คำว่า “Quarter-life crisis” ก็เป็นที่ได้ยินบ่อยไม่แพ้กัน นั่นอาจเป็นเพราะจริงๆ แล้วชีวิตของคนช่วงวัย 30 นั้นก็ชวนเครียดไม่แพ้กันเลย
.
แล้ววิกฤตที่ว่ามาจากไหน ความกดดันสำหรับคนวัยนี้มีอะไรบ้าง
.
ความกดดันแรกคือเรื่องการลงหลักปักฐาน เราในวัย 20 อาจเป็นวัยแห่งการผจญภัย ย้ายจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่งได้โดยไม่ได้มีภาระติดตัวมากมายนัก แต่พอเริ่มเข้าใกล้ 30 หลายๆ คนอาจต้องเริ่มตัดสินใจแล้วว่าจะอยู่ที่ไหน อยู่เมืองหลวงหรือกลับบ้านต่างจังหวัด จะซื้อบ้านหรือซื้อคอนโดฯ จะอยู่คนเดียว อยู่กับคนในครอบครัว หรืออยู่กับแฟน
.
ในด้านการงาน หลายๆ คนอาจเริ่มเหนื่อยและเบื่อกับงานที่ทำอยู่ จันทร์-ศุกร์เป็นเหมือนช่วงเวลาที่เราฝืนฝ่าฟันไปเพื่อได้ใช้ชีวิตจริงๆ ในวันเสาร์-อาทิตย์ เราเริ่มถามตัวเองอยู่บ่อยๆ ว่า ‘ที่ทำอยู่มีความสุขไหม’
.
ในด้านความสัมพันธ์ คนโสดหลายคนเริ่มกดดันกว่าเคย เพราะคนรอบข้างอาจแต่งงานมีครอบครัวกันไปหมดแล้ว ส่วนคนมีคู่ก็ต้องเริ่มวางแผนชีวิตคู่กันบ้างแล้ว หลายคนต้องตัดสินใจร่วมกันเรื่องการมีบุตร จริงอยู่ที่ว่าวัย 30 อาจไม่ใช่ช่วงเวลาที่พร้อมเท่าไรนัก แต่หากผ่านช่วงที่ร่างกายอุดมสมบูรณ์ไปแล้ว การมีบุตรที่อาจไม่ใช่เรื่องง่าย
.
นอกจากนี้ยังมีอีกหลายๆ เรื่องที่คนในวัยนี้ต้องเผชิญ ตั้งแต่เรื่องการดูแลพ่อแม่ หรือคนแก่ในครอบครัว ไปจนถึงการศึกษาต่อของตัวเอง
.
จากวัย 20 ที่หลายคนมองว่า ‘ยังมีเวลา’ และไม่มีใครคาดหวังอะไร เราสามารถใช้ชีวิต ค้นหาตัวเอง และวิ่งตามความฝันได้ แต่เพียง 10 ปีต่อมา เรากลับถูกคาดหวังให้มีพร้อมทุกๆ ด้านตั้งแต่ความสำเร็จด้านการงาน การเงิน และการมีครอบครัว
.
ไม่น่าแปลกใจว่าทำไมวัย 30 ถึง ‘วิกฤต’ ไม่แพ้วัยกลางคน
.
.
ชีวิตไม่ได้หยุดที่ 30
.
แม้หนังจะเล่าความกังวลผ่านเสียงนาฬิกานับถอยหลังได้เป็นอย่างดี แต่ในความจริงนั้น นาฬิกาชีวิตของคนเราไม่ได้หยุดที่วัย 30 เสียทีเดียว แม้นาฬิกาจะเคลื่อนผ่านเวลาเที่ยงคืนในคืนวันเกิดของเรา มันก็ยังจะเคลื่อนต่อไปเช่นนั้นจนเราอายุ 40 50 60 และจนกว่านาฬิกาชีวิตจะหยุดเดินจริงๆ
.
ถึงกระนั้น การรู้ว่าชีวิตยังมีเวลาอีกเยอะก็ไม่ได้ทำให้ความรู้สึกกังวลนี้ทุเลาลงเลย เพราะมีหลายสิ่งที่เราต้องเผชิญ เช่น ความคาดหวังของสังคมและจากตัวเราเอง คำถามที่ตามมาก็คือเราจะรับมือกับความกังวลนี้อย่างไร
.
บทความเรื่อง Managing A Quarter Life Crisis In The Midst Of A Crisis ได้พูดถึงวิธีจัดการกับความกังวลของคนวัย 30 ไว้ ด้วย 3 สเตปดังนี้
.
1) เป็นนักสืบความคิดและความรู้สึก
.
เราจะเลือกเส้นทางต่อไปของชีวิตไม่ได้เลย หากเราไม่รู้ว่าตอนนี้เราอยู่ตรงไหนแล้ว ดังนั้นการรับรู้ ‘ความรู้สึก’ และ ‘ความคิด’ ณ ตอนนี้จึงเป็นเรื่องสำคัญ จริงอยู่ที่ความคิดประเภทที่ว่า ‘ที่ทำอยู่มีความสุขไหม’ อาจทำให้เราเครียดขึ้นมา แต่การตระหนักรู้ถึงความคิดเหล่านี้และค่อยๆ ตอบคำถามมันนั่นแหละ จะทำให้เราเจอทางออก
.
เพื่อป้องกันการตัดสินใจด้วยอารมณ์ชั่ววูบ ผู้เขียนแนะนำว่า ให้จดลงในกระดาษว่าเราทำอะไรไปบ้างในแต่ละวัน จากนั้นก็เขียนความคิดเห็นและความรู้สึกของเราต่อกิจกรรมเหล่านั้น ทำเช่นนี้ทุกๆ วันประมาณหนึ่งสัปดาห์แล้วเราจะเห็นเองว่า กิจกรรมไหนในงานของเราที่เราไม่ชอบจริงๆ และกิจกรรมไหนที่ยังทำให้เรารู้สึกมีแรงบันดาลใจ
.
พอได้คำตอบแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการตัดสินใจว่าจะทำอย่างไรต่อ
.
2) ตัดสินใจแบบไม่ต้องกลัว!
.
ในการตัดสินใจแต่ละครั้ง เราไม่เพียงแต่ต้องทิ้งตัวเลือกใดตัวเลือกหนึ่งไว้ข้าง แต่ยังต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนของทางที่เราเลือกอีก ไม่แปลกเลยหากเรากลัว กังวล คิดวนไปวนมา และตัดสินใจไม่ได้สักที
.
อย่างไรก็ตาม ความลังเลนั้นมีแต่จะทำให้เราเครียดและเสียเวลา จะดีกว่าไหมหากเรากล้าตัดสินใจแบบไม่เกรงกลัว
.
ผู้เขียนแนะนำว่า ให้โฟกัสที่ ‘ความเป็นไปได้’ ไม่ใช่ ‘ความกลัว’
.
ลองมองถึงข้อดีและสิ่งดีๆ ที่อาจเกิดขึ้นจากการตัดสินใจของเรา เป็นต้นว่า งานใหม่จะมีอะไรบ้างให้เราได้เรียนรู้ และ ความรู้เหล่านั้นเราจะเอาไปต่อยอดทำอะไรได้บ้าง พอเราปล่อยวางความกลัวได้แล้ว ก็เข้าสู่สเต็ปต่อไป ซึ่งก็คือการหัดอยู่กับความอึดอัด
.
3) ฝึกอยู่กับความไม่สบายใจ
.
ขั้นตอนที่ยากที่สุดไม่ใช่การตัดสินใจเลือกอะไรบางอย่าง แต่เป็นการทำใจปล่อยวาง ‘สิ่งที่ไม่ได้เลือก’ และอยู่กับ ‘สิ่งที่เราเลือก’ แม้สถานการณ์เริ่มจะไม่ง่าย
.
ต้องยอมรับว่าการปรับตัวกับเส้นทางใหม่นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ผู้เขียนแนะนำว่าการใจดีกับตัวเอง หรือการมี Self-compassion จะทำให้เราก้าวผ่านช่วงเวลานี้ไปได้
.
ตระหนักอยู่เสมอว่า ในชีวิตนี้มีทั้งคนที่ ‘รู้ตัวเอง’ ตั้งแต่เด็กว่าอยากทำอะไรและเดินหน้าทำตามความฝัน กับ คนที่ ‘ไม่รู้ตัวเอง’ ว่าชอบอะไรและทดลองทำไปเรื่อยๆ แบบเรา หากเราจะเลือก ลองทำ แล้วรู้สึกว่าไม่ชอบ ให้รู้จักรักและให้อภัยตัวเองมากพอที่จะเริ่มใหม่
.
ความรักที่มีต่อตัวเองนี้แหละจะพาเราไปสู่เส้นทางที่เหมาะสมกับเราในท้ายที่สุด
.
.
มีหลายครั้งที่โจนาธาน ลาร์สัน ตัวเอกในเรื่อง ‘tick, tick… BOOM!’ อยากยอมแพ้ เพราะสิ่งต่างๆ ที่เขาต้องเผชิญนั้นไม่ง่ายเลย ไหนจะเสียง ติ๊ก.. ติ๊ก.. ติ๊ก.. ติ๊ก.. ที่ดังอยู่ในหัว ทำเอาหายใจไม่ทั่วท้องตลอดเวลาอีก แต่สิ่งที่ทำให้เขาเดินหน้าและทำตามความฝันของตัวเองต่อ แม้จะยากลำบากแค่ไหน คือการตั้งใจฟังให้ดี ฟังทะลุผ่านเสียง ติ๊ก.. ติ๊ก.. ติ๊ก.. ติ๊ก.. และฟังให้ลึกลงไป
.
เราจะได้ยินเสียงที่เราอยากได้ยินที่สุด ซึ่งก็คือ ‘เสียงหัวใจตัวเอง’ นั่นเอง
.
.
อ้างอิง
https://nyti.ms/3FsTnhh
https://bit.ly/3nrd0jC
.
#missiontothemoon
#missiontothemoonpodcast
#inspiration