ในวันพุธที่ 17 มีนาคม ปี 2010 ณ เมือง โพเทนซ่า (Potenza) ประเทศอิตาลี ก็เป็นเหมือนวันธรรมดาวันหนึ่ง ที่มีกลุ่มคนงานก่อสร้างจำนวนหนึ่งได้รับการว่าจ้างจากทางโบสถ์ ที่ชื่อว่า ตรินิต้า (Trinita) ให้เข้าไปทำการซ่อมหลังคาที่มีอาการน้ำรั่วเป็นเวลานาน
เมื่อไปถึงแล้ว ทีมช่างก็เลยขึ้นไปตรวจสอบหาสาเหตุที่ทำให้หลังคารั่วที่ห้องใต้หลังคาของโบสถ์ซึ่งทันทีที่ทีมช่างเปิดประตูเข้าไป พวกเขาก็ต้องปะทะเข้ากับกลิ่นเหม็นอับเต็มๆ
กลิ่นของความอับชื้น เชื้อรา ฝุ่นต่างๆ มันตลบอบอวลอยู่เต็มที่ในห้องใต้หลังคาแห่งนี้ แต่นอกจากกลิ่นอับแล้ว พวกเขายังได้กลิ่นเหม็นเน่าแปลกๆ ลอยโชยปะปนมาอีกด้วย และเมื่อพวกเขาส่องไฟฉายไปยังมุมหนึ่งของห้อง พวกเขาก็แทบลมจับ เพราะสิ่งที่พวกเขาได้เห็นก็คือ ร่างของมนุษย์กำลังนั่งอยู่ตรงมุมห้อง!
และเมื่อตั้งสติได้ พวกเขาก็รีบโทรแจ้งตำรวจทันที ซึ่งเมื่อตำรวจมาถึงแล้วขึ้นไปตรวจสอบ ก็พบว่าศพดังกล่าวเป็นร่างของผู้หญิง ซึ่งดูจากลักษณะภายนอกที่ค่อนข้างเน่าเปื่อยไปค่อนข้างมาก คาดว่าน่าจะเสียชีวิตและถูกทิ้งไว้ที่นี่มานานมากแล้ว
นอกจากนี้ยังพบว่า ในมือของเธอมีเส้นผมกำหนึ่ง ซึ่งก็ยังไม่ทราบว่าเป็นของใคร ประกอบกับ กางเกงยีนที่เธอสวมอยู่ถูกดึงลงมา กางเกงในของเธอมีรอยฉีกขาด ดังนั้นตำรวจจึงตั้งข้อสันนิษฐานว่าผู้หญิงคนนี้ น่าจะโดนมาล่วงละเมิดทางเพศ ก่อนจะถูกคนร้ายสังหารแล้วนำศพมาซ่อนไว้ นอกจากนี้เจ้าหน้าที่ก็ได้ตรวจพบหลักฐานอื่นๆ เพิ่มเติมภายในห้องก็ไม่พบอะไรนอกจากแว่นตา รองเท้าแตะ ฟูกที่นอน และกระดุมสีแดงหนึ่งเม็ด
นอกจากนี้ตำรวจก็เชื่อแน่ใจได้เลยว่านี่เป็นคดีฆาตกรรม เนื่องจากบนหลักฐานต่างๆ ได้มีคราบเลือด คราบของเหลว รวมถึงน้ำลาย ซึ่งระบุได้ว่ามาจากผู้ชาย ซึ่งมีความเป็นไปได้สูงมากที่จะเป็นของคนร้ายนั่นเอง
หลังจากการตรวจสอบ DNA เพิ่มเติม ตำรวจก็พบว่า เจ้าของร่างนี้คือ ผู้เคราะห์ร้ายคนนี้มีชื่อว่า เอลิซ่า แคลปส์ (Elisa Claps) ซึ่งข้อมูลนี้ไปสอดคล้องกับการแจ้งคนหายเมื่อ 17 ปีก่อน โดยผู้แจ้งคือ กิลโด แคลปส์ (Gildo Claps) พี่ชายแท้ๆ ของ เอลิซ่า นั่นเอง ดังนั้นตำรวจจึงติดต่อ กิลโด ให้ทราบข่าวการเสียชีวิตของน้องสาวทันที
ชีวิตของสาวน้อยวัย 16 สุดไร้เดียงสา
กิลโดเล่าให้ตำรวจฟังว่า เอลิซ่า หายตัวไปตอนอายุ 16 ปี และกำลังเรียนอยู่ในชั้นมัธยมปลายที่โรงเรียนแห่งหนึ่งในเมืองโพเทนซ่า (Potenza) โดยเอลิซ่า เป็นลูกสาวคนสุดท้องจากพี่น้องทั้งหมด 3 คน เธอมีความฝันที่อยากจะเป็นคุณหมอให้ได้ แถมเธอยังเป็นเด็กสาวที่มีพฤติกรรมดี เนื่องจากความที่เธอเป็นชาวคาทอลิกที่เคร่งศาสนามากๆ
แต่แล้ววันหนึ่ง เอลิซ่าได้บอกกับกิลโด ว่าเธอจะออกไปที่โบสถ์ ตรินิต้าเพื่อร่วมพิธีมิสซา แต่เธอจะรีบไปรีบกลับ เพราะทางครอบครัวได้มีนัดรับประทานอาหารกลางวันกันตอนบ่ายโมง เธอก็รับปากว่าจะกลับมาให้ทันให้ได้
กิลโดเล่าต่อว่า เขารีบโทรติดต่อเพื่อนผู้หญิงที่เข้าร่วมพิธีมิสซากับเอลิซ่า และเขาก็ได้พบความจริงว่าในวันนั้น เอลิซ่าไม่ได้ไปโบสถ์เพียงเพื่อไปทำพิธีมิสซาเท่านั้น แต่เธอแอบนัดเจอผู้ชายคนหนึ่งเอาไว้ด้วย โดยชายคนดังกล่าวมีชื่อว่า ดานิโล เรสติโว่ (Danilo Restivo)
ดานิโล เป็นชายอายุ 21 ปี ที่กำลังเรียนอยู่ที่วิทยาลัยในเมือง Napoli ซึ่งอยู่ห่างจากเมือง Potenza ประมาณ 160 กิโลเมตร โดยดานิโล ชื่นชอบเอลิซ่าเป็นอย่างมาก ตัวเขาเองเคยสารภาพรักกับเอลิซ่าไปแล้ว แต่ก็ถูกปฏิเสธ
แต่แม้จะผิดหวัง แต่ดานิโลก็ยังไม่ล้มเลิกความพยายาม ดานิโลยังคงคอยโทรหา เอลิซ่า อยู่บ่อยครั้ง แต่ที่แปลกก็คือ แทนที่หยอดคำหวานแบบหนุ่มจีบสาวทั่วไป เขากลับไม่ยอมพูดอะไร แต่เปิดเพลงประกอบหนังสยองขวัญให้เอลิซ่าฟังแทน โดยหนังสยองที่ว่านั้นมีชื่อเรื่องว่า “Profondo Rosso (โปรฟอนโด รอซโซ่)” ซึ่งเป็นหนังเกี่ยวกับคดีฆาตกรรมสยองขวัญ
พฤติกรรมของดาลิโอสร้างความหวาดกลัวให้กับเอลิซ่าเป็นอย่างมาก เธอเคยเล่าเรื่องพฤติกรรมชวนขนหัวลุกนี้ของดาลิโอให้กับเพื่อนๆ และครอบครัวของเธอฟัง อย่างไรก็ตามทุกคนรวมถึงตัว เอลิซ่า เองก็คิดว่า ถึงแม้ ดาลิโอ จะดูน่าขนลุกและดูเพี้ยนขนาดไหน เขาก็ไม่น่าเป็นคนที่ทำร้ายหรือทำอันตรายต่อใครได้
จนกระทั่งวันนึงดานิโลได้ติดต่อเอลิซ่ามาว่า เขาอยากพบเธอ โดยให้เหตุผลว่า เขามีของขวัญพิเศษจะมอบให้ เนื่องจากเอลิซ่าสอบได้คะแนนดี โดยอยากให้เธอมาเจอเขาที่โบสถ์ ตรินิต้า ในวันอาทิตย์ที่จะถึงนี้ ซึ่งด้วยความใจดีของเอลิซ่า เธอจึงใจอ่อนและยอมไปเจอกับเขาในวันนั้น เพราะคิดว่าไม่น่าจะมีอะไรไม่ได้เกิดขึ้น
และหลังจากเธอไปพบกับดาลิโอในวันนั้น ก็ไม่มีผู้ใดพบเห็นเธออีกเลย
เริ่มต้นสืบสวน
เมื่อได้ฟังเรื่องทั้งหมดจาก กิลโด แล้ว ตำรวจก็รีบติดต่อไปหา ดาลิโอ ทันทีเพื่อสอบปากคำและถามถึงเหตุการณ์ในวันที่ เอลิซ่า หายตัวไป โดยดานิโลบอกว่าวันนั้นเขาได้นัดพบกับเอลิซ่าตอน 11 โมงครึ่งที่โบสถ์จริงๆ แต่มันก็เพื่อขอคำปรึกษาจากเอลิซ่า เนื่องจากตัวเขาไปแอบชอบเพื่อนคนหนึ่งของเอลิซ่า ก็เลยอยากเธอเอลิซ่าว่าจะจีบเพื่อนเธอคนนั้นยังไงดี ปรึกษาเสร็จเขาก็อยู่อธิษฐานข้างในโบสถ์ต่ออีกสักพัก
แต่จุดที่น่าสงสัยก็คือ ไม่มีใครสามารถเป็นพยานยืนยันได้เลยว่า เห็นเอลิซ่าเดินออกมาจากโบสถ์ หรือเห็น ดาลิโอ สวดมนต์ต่ออยู่ในโบสถ์ ยิ่งกว่านั้น ตำรวจยังพบอีกว่า ในบ่ายวันนั้น เวลาราวๆ 13.45 น ดานิโล ได้ไปที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งพื่อทำแผลที่มือ โดยยังมีประวัติการรักษาของในวันนั้นอยู่เลย โดยแพทย์ได้เล่าว่าในวันที่เกิดเหตุ ดานิโล มาถึงโรงพยาบาลในสภาพที่เสื้อผ้ามีคราบเลือดเต็มไปหมด แถม ดานิโล เองก็อยู่ในสภาพที่ดูร้อนรน บอกว่ามีธุระด่วน ทางแพทย์จึงแค่ปฐมพยาบาลบาดแผลเบื้องต้นให้ ก่อนที่ ดานิโล จะรีบออกจากโรงพยาบาลไป
แถม ณ ตอนนั้น ตำรวจเองก็ได้เดินทางไปยังโบสถ์เพื่อพยายามค้นหาเอลิซ่า อย่างเต็มที่ โดยได้มีการขอ ขึ้นไปตรวจสอบที่ชั้น 3 บริเวณห้องใต้หลังคาของโบสถ์ด้วย แต่ปรากฏว่า บาทหลวงในตอนนั้นที่ชื่อว่า ดอน มิมิ ซาเบีย (Don mimi Sabia) ซึ่งเป็นคนเดียวที่มีกุญแจไขเข้าห้องที่ชั้น 3 กลับไม่อนุญาตให้ตำรวจเข้าไปตรวจค้นเสียอย่างนั้น ด้วยเหตุผลที่ว่าเป็นการทำลายความศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่อาจยอมรับได้
จนเวลาผ่านล่วงเลยมาถึง 17 ปี ที่วันนี้ได้มีการตรวจพบเจอร่างของ เอลิซ่า แล้ว ทำให้ตำรวจได้มีการตรวจสอบ DNA ซึ่งก็พบว่า เจ้าของคราบเลือด คราบน้ำลาย และของเหลวในที่เกิดเหตุนั้น คือ ดานิโล นั่นเอง
พอมีหลักฐานมัดตัวแบบนี้ ดานิโล ก็ดิ้นไม่หลุดอีกต่อไป เขาถูกตัดสินให้มีความผิดจริงข้อหาฆาตกรรม เอลิซ่า แคลปส์ และต้องจำคุกไป 30 ปี ในท้ายที่สุด
สามารถรับฟัง File Not Found EP. 136 | จีบสาวสุดโหด เชือดหมกโบสถ์ใต้หลังคา แบบเต็มๆ ได้ที่: https://youtu.be/ubuWAkJXXtk
#missiontopluto
#missiontoplutopodcast
#filenotfoundpodcast