ENTERTAINMENT“คุณพ่อได้ต่อสู้มาตลอด” คดีสุดวุ่นวายในห้องปิดตาย ที่กินเวลาสืบสวนนาน 10 ปี (Pietro Mattei)

“คุณพ่อได้ต่อสู้มาตลอด” คดีสุดวุ่นวายในห้องปิดตาย ที่กินเวลาสืบสวนนาน 10 ปี (Pietro Mattei)

เมื่อไหร่ที่เกิดคดีฆาตกรรมในห้องปิดตายเมื่อใด ตำรวจนั้นจะต้องพบเจอแต่ทางตันและเรื่องปวดหัวระหว่างการสืบสวนอยู่เสมอ เป็นหนึ่งในรูปแบบคดีที่ท้าทายความสามารถที่สุดเลยก็ว่าได้ และคดีต่อไปนี้ ก็เป็นหนึ่งในคดีฆาตกรรมในห้องปิดตายที่มีความซับซ้อนเหลือร้าย จนกินเวลาสืบสวนนานกว่า 10 ปีเลยทีเดียว!

ณ ประเทศอิตาลี ได้มีครอบครัวหนึ่ง ที่อาศัยอยู่ในย่าน โอลเจียต้า (Olgiata) ซึ่งเป็นย่านหรูสำหรับเหล่ามหาเศรษฐีทางตอนเหนือของกรุงโรม โดยครอบครัวนี้มีสมาชิก 4 คนด้วยกัน ประกอบไปด้วย เปียโตร มัทเตอิ (Pietro Mattei) อายุ 51 ปี อัลเบอริก้า ฟิโลเดลล่า ตอเร่ (Alberica Filo Della Torre) อายุ 42 ปี ลูกคนโตชื่อว่า มานเฟรดี้ (Manfredi) และลูกคนเล็ก โดมิทิลล่า ( Domitilla)

โดยครอบครัวนี้อาศัยอยู่ในบ้านพักสุดหรู ที่เต็มไปด้วยคนรับใช้ แม่บ้าน พี่เลี้ยงเด็ก และคุณครูที่จ้างมาสอนแบบส่วนตัวที่บ้านอีกหลายคน เรียกว่า หากมองจากภายนอก ก็เป็นครอบครัวที่สมบูรณ์แบบเลยทีเดียว

ครอบครัวนี้ใช้ชีวิตด้วยความสุขเรื่อยมา จนกระทั่ง ในวันที่ 10 กรกฎาคม 1991 ซึ่งเป็นวันครบรอบแต่งงาน 10 ปี ของ เปียโตร และ อัลเบอริก้า นั่นทำให้พวกเขามีแผนที่จะจัดงานปาร์ตี้เล็กๆ เพื่อเลี้ยงฉลองกันในครอบครัว

โดยในวันนั้น อัลเบอริก้า ตื่นนอนแต่เช้าเพื่อลงมารับประทานอาหารเช้ากับลูกๆ ของเธอ ในเวลาราวๆ 8.30 ก่อนที่จะไปเดินตรวจดูว่าการเตรียมตัวสำหรับงานเลี้ยงเย็นวันนั้นเป็นอย่างไร เรียบร้อยดีไหมและเมื่อตรวจเช็กทุกอย่างเรียบร้อย อัลเบอริก้า ก็เดินกลับไปที่ห้องของเธอ หลังจากนั้นไม่นาน โดมิทิลล่า ลูกสาวตัวน้อยก็คิดถึงแม่ขึ้นมา เลยเดินไปเคาะประตูเรียกที่ห้องแต่ปรากฏว่า ห้องนั้นถูกล็อกจากด้านใน

โดมิทิลล่าตะโกนและเคาะประตูเรียกคุณแม่อยู่นาน แต่ไม่ว่าจะเรียกเท่าไหร่ ตะโกนแค่ไหน แม่ก็ไม่ออกมาสักทีจนร้องไห้ออกมาเสียงดัง และเมื่อมีเสียงร้องไห้แบบนี้ สาวใช้คนหนึ่งรีบเดินเข้ามาดู ซึ่งสาวใช้คนนี้เลยพยายามจะเคาะประตูเรียก อัลเบอริก้า เหมือนกัน แต่ก็ไม่มีเสียงตอบรับใดๆ เลยทั้งสิ้น

ตอนแรกสาวใช้คนนั้นคิดว่าไม่น่าจะมีอะไร เลยพาโดมิทิลล่าไปสงบสติอารมณ์ที่ชั้นล่าง แต่พอเวลาผ่านไปถึง 10 โมง ก็ได้มีแม่บ้านคนหนึ่งเดินไปเคาะประตูห้องนอนของอัลเบอริก้าอีกครั้ง แต่ก็ยังไม่มีการตอบรับใดๆ กลับมา ใช้โทรศัพท์โทรเข้าไปในห้องนอนก็ได้ยินเสียงดัง แต่ไม่มีใครรับสาย แม่บ้านจึงรีบวิ่งไปเอากุญแจสำรองด้วยความตื่นตระหนก ก่อนจะเปิดประตูเข้าไปในห้องของอัลเบอริก้า กลับอัลเบอริก้านอนคว่ำอยู่บนพื้นห้อง บริเวณศีรษะของเธอถูกคลุมไว้ด้วยผ้าปูที่นอนที่เต็มไปด้วยเลือดและยังมีกองเลือดกระจายเต็มไปทั่วพื้นห้องอีกด้วย

ทุกคนตกใจสุดขีด เปียโตร ผู้เป็นสามี พอรู้ข่าวก็หน้าซีด รีบกลับบ้านมาทันทีแต่ก็ไม่ทันการ เพราะอัลเบอริก้าได้เสียชีวิตไปเรียบร้อยแล้ว ซึ่งพอเจ้าหน้าที่ตำรวจเดินทางมายังบ้านพักที่เกิดเหตุ พวกเขาก็ตั้งสมมติฐานแรกเอาไว้ว่า มันอาจจะเป็น “อุบัติเหตุ” เนื่องจากว่า ห้องนอนของ อัลเบอริก้า ไม่มีทางเข้าออกใดนอกจากประตูห้องที่ถูกล็อกไว้จากด้านใน ดังนั้น มันจึงเปรียบเสมือน “ห้องปิดตาย” นั่นเอง

เริ่มต้นสอบสวน คดีที่มีแต่ทางตัน

มันมีความเป็นไปได้ที่ อัลเบอริก้า อาจลื่นล้มขณะเข้าไปในอ่างอาบน้ำ จนหัวฟาดพื้นเสียชีวิต แต่สมมุติฐานนี้ก็ตกไป เพราะตำรวจดันไปพบหลักฐานและร่องรอยของการต่อสู้เกิดขึ้น แถมยังพบสิ่งที่คาดว่าจะเป็นอาวุธสังหาร ก็คือ รองเท้าที่ทำจากไม้ อีกด้วย โดยคาดว่าคนร้ายน่าจะใช้สิ่งนี้ฟาดไปที่ศีรษะของอัลเบอริก้าจนเสียชีวิต หลังจากที่พยายามต่อสู้กัน นอกจากนี้ ยังพบว่าคนร้าย ได้ขโมยเครื่องประดับและอัญมณีล้ำค่าภายในห้องออกไปจำนวนมากอีกด้วย

ตำรวจเริ่มสอบปากคำทุกคนในบ้านทันที แต่ว่าทุกคนนั้นมีหลักฐานยืนยันที่อยู่อย่างแน่นหนา อีกทั้งตรงบริเวณห้องนอนของ อัลเบอริก้า ก็ไม่มีใครเห็นว่ามีคนไปทำอะไรน่าสงสัยอีกด้วย ไปสะดุดใจกับเรื่องหนึ่งที่น่าสนใจ ก็คือที่บ้านนี้เลี้ยงสุนัขเฝ้าบ้านเอาไว้ เมื่อเจอคนแปลกหน้า มันจะทำการเห่าหรือขู่ เพื่อเป็นสัญญาณเตือนให้คนในบ้านรู้ตัวทันที แต่สิ่งที่แปลกก็คือ ในวันนั้นน้องหมาตัวนี้ กลับไม่ส่งเสียงหรือมีอาการที่บ่งบอกว่ามีผู้บุกรุกแปลกปลอมเข้ามาเลยแม้แต่น้อย สิ่งนี้เอง ทำให้ตำรวจเชื่อว่า คนร้ายน่าจะเป็นคนที่เคยเข้ามาทำงานหรืออาศัยอยู่ในบ้านพักหลังนี้มาก่อน

ต่อมาหลังจากตำรวจได้ทำการชันสูตรศพอย่างละเอียด ก็พบว่าสาเหตุการตายที่แท้จริงของอัลเบอริก้านั้นไม่ใช่จากการถูกฟาดด้วยรองเท้าไม้ แต่เป็นการถูกรัดคอจนเสียชีวิต ซึ่งการรัดคอนี้ก็ไม่ใช่การรัดคอธรรมดา แต่เป็นการบีบหลอดเลือดแดงโดยใช้นิ้วโป้งกับนิ้วชี้ ซึ่งเป็นเทคนิคเฉพาะที่นักศิลปะการต่อสู้มักใช้กันรู้จักและไม่ง่ายที่เลยที่คนปกติจะสามารถทำวิธีนี้ได้

แต่ถึงจะรู้อย่างนี้แล้ว โชคก็ไม่ได้เข้าข้างตำรวจเลยแม้แต่น้อย เพราะว่าห้องนอนของอัลเบอริก้าที่เป็นที่เกิดเหตุนั้น กลับถูกผู้คนจำนวนมากเดินเข้ากันมั่วไปหมด ซึ่งทำให้ร่องรอยของหลักฐานถูกปะปน ไม่สามารถที่จะแกะรอยนิ้วมือผู้ต้องสงสัยจากสถานที่เกิดเหตุได้เลย แถมแม่บ้านก็ได้มาทำความสะอาดห้องจนหมดจดเลย นั่นทำให้ตำรวจไม่มีโอกาสจะได้กลับมาหาหลักฐานเพิ่มเติมอีกครั้ง มีแต่เสื้อผ้าที่เปื้อนเลือดของอัลเบอริก้า ยิ่งทวีคูณความยากของการสืบสวนคดีนี้เข้าไปอีก

แต่หลังจากพยายามสืบค้นพนักงานเก่าๆ ที่เคยทำงานในบ้านหลังนี้เป็นเวลานาน ตำรวจก็ได้พบกับผู้ต้องสงสัยที่เข้าเค้าที่สุดก็คือ มานูเอล วินสตัน (Manuel Winston) อายุ 22 ปี โดยเขาเป็นอดีตคนงานที่เคยทำงานในบ้านหลังนี้มาก่อน แต่เขาเพิ่งถูกไล่ออกไป ด้วยเหตุผลว่า วินสตัน ได้ขอยืมเงินจาก อัลเบอริก้า แล้วไม่คิดจะจ่ายเงินคือหรือทำงานใช้หนี้ใดๆ ทั้งสิ้น เรียกว่า ไม่มี ไม่หนี ไม่จ่าย สุดท้ายก็ทำให้อัลเบอริก้าโมโหและไล่เขาออกทันที

ในตอนนั้น ได้มีพยานหลายคนที่เห็นว่า วินสตัน พูดข่มขู่จะเอาชีวิต อัลเบอริก้า ต่อหน้าแม่บ้านหลายคนและออกไปจากบ้านโดยที่ยังไม่คืนกุญแจ แถมเขาเป็นคนที่เคยฝึกศิลปะการต่อสู้อีกด้วย แต่ถึงแม้ว่า วินสตัน จะดูเข้าข่ายเพียงใด ตำรวจก็ยังไม่มีหลักฐานที่จะมัดตัวเขาได้อยู่ดี และต้องปล่อยไป

ตำรวจยังคงมีความพยายามที่จะสืบสวนคดีนี้ต่อไปอีกราวๆ 2-3 ปี ก่อนที่เรื่องมันจะค่อยๆ เงียบหายไป และดูจะกลายเป็นคดีในห้องปิดตายที่ไร้คนผิด จะมีก็เพียง เปียโตร มัตเตอิ ​​ผู้เป็นสามี ที่ไม่เคยหยุดต่อสู้เพื่อภรรยาที่รักของเขาจะได้รับความเป็นธรรม แถมสื่อมวลชนเอง ก็ยังสนับสนุนเพื่อช่วยให้เขาสามารถต่อสู้ จนกว่าจะหาผู้กระทำความผิดตัวจริงมาลงโทษให้ได้

10 ปีผ่านไป ความยุติธรรมจึงปรากฏ

เวลาผ่านล่วงเลยไปถึง 10 ปี และในที่สุดความพยายามของเปียโตรก็เป็นผล เมื่อได้มีการติดต่ออัยการคนใหม่มารับทำคดีนี้ อัยการคนนี้ได้กลับไปศึกษาคดีนี้อย่างละเอียดถี่ถ้วนจากข้อมูลทั้งหมดที่มี จนสุดท้าย ทางอัยการได้ตัดสินใจนำเอาหลักฐานที่เก็บไว้ มาตรวจสอบใหม่ทั้งหมด

ในปี 2011 นี้ เทคโนโลยีได้ก้าวไกลกว่าเมื่อ 10 ปีที่แล้วมาก โดยตอนนี้ตำรวจสามารถพิสูจน์ DNA ได้อย่างแม่นยำ อัยการคนนี้จึงเชื่อว่า มันต้องมีความจริงอะไรบางอย่างปรากฏชัดเจนขึ้นอย่างแน่นอน

Advertisements

ทางอัยการจึงได้นำผ้าปูเตียงที่คนร้ายใช้ห่อศีรษะของอัลเบอริก้ามาตรวจสอบคราบเลือดอีกครั้ง ซึ่งในคราบเลือดเหล่านั้น มันไม่ได้มีแค่เลือดของอัลเบอริก้า คนเดียว แต่มันกลับมีเลือดของ มานูเอล วินสตัน ปะปนอยู่ด้วย เป็นหลักฐานเด็ด ที่ชัดเจนมาก ตำรวจจึงเรียกตัวไปนายวินสตันมาสอบปากคำใหม่ทันที

Advertisements

ในที่สุด วินสตัน ก็สารภาพว่าเขาคือฆาตกรจริงๆ เขายอมรับว่า เขาได้ไปหาอัลเบอริก้าในวันนั้นเพื่อขอโอกาสให้เธอว่าจ้างเขาใหม่ แต่อัลเบอริก้านอกจากจะไม่รับคำขอของเขาแล้ว ยังพูดไล่เขาออกไปด้วยคำพูดหยาบคายและดูถูกเหยียดหยาม

ด้วยความโกรธ วินสตันจึงคว้ารองเท้าไม้ ฟาดเข้าที่ศีรษะของเธอ ก่อนจะบีบคอเธอ จากนั้นก็ไปหยิบอัญมณีของมีค่าต่างๆ ก่อนจะแอบปีนหนีไปทางหลังคา นั่นก็เป็นวิธีออกจากห้องxbf9kp ที่น้อยคนจะรู้ เนื่องจาก วินสตัน เคยเป็นคนงานที่ทำงานซ่อมบำรุงในห้องของอัลเบอริก้ามาก่อน เขาจึงรู้ว่าตรงฝ้าของห้องสามารถจะเปิดเข้าเปิดออกไปยังหลังคาได้ ทำให้การ เข้า-ออกจากห้องของ อัลเบอริก้า นั้นไม่ใช่เรื่องยากเลย

หลังจาก วินสตัน ยอมรับสารภาพ เขาได้ออกมาพูดขอโทษต่อครอบครัวของอัลเบอริก้าผ่านสื่อมวลชนต่างๆ และก่อนที่เขาจะถูกนำตัวไปพิจารณาในชั้นศาล ซึ่งเขาต้องรับโทษจำคุก 16 ปี ซึ่งจำนวนโทษที่ได้รับนี้ สร้างความไม่พอใจให้กับเปียโตรและครอบครัวเป็นอย่างมาก เขารู้สึกว่า บทลงโทษนี้ มันเทียบกับการที่เขาต้องเสียภรรยาไปไม่ได้เลย

มานเฟรดี้ ลูกคนโตของเปียโตรและอัลเบอริก้า ได้ออกมาสัมภาษณ์กับสื่อ หลังฟังคำพิพากษาคดีว่า “การต่อสู้มาตลอดของคุณพ่อ มันกลับได้ผลลัพธ์ที่เลวร้ายและไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง” ยิ่งไปกว่านั้น ในปี 2021 วินสตันก็ได้รับการลดโทษอีกครั้ง เนื่องจากเป็นนักโทษความประพฤติดี และในที่สุดเขาก็ได้รับอิสระออกจากคุกออกครั้ง หลังจากติดไปจริงๆ แค่ 10 ปีเท่านั้นเอง

สามารถรับฟัง File Not Found EP. 135 | คดีฆาตกรรมในห้องปิดตาย ที่กินเวลาสืบสวนกว่า 10 ปี แบบเต็มๆ ได้ที่: https://youtu.be/h-oKrXJswIU

#missiontopluto
#missiontoplutopodcast
#filenotfoundpodcast

 

Advertisements

LASTEST ARTICLES

LASTEST PODCAST

Mission To The Moon
Mission To The Moon
พื้นที่ที่สร้างขึ้นเพื่อแบ่งบันเรื่องราวเกี่ยวกับการทำธุรกิจ การตลาด แรงบันดาลใจ และข้อคิดในการใช้ชีวิต

POPULAR ARTICLES

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายคุกกี้ และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่มีความจำเป็น (Strictly Necessary Cookies)
    เปิดใช้งานตลอด

    คุกกี้ที่มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้งานและเข้าชมเว็บไซต์ได้อย่างเป็นปกติ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้ อย่างไรก็ตาม คุณสามารถบล็อคการใช้งานคุกกี้ได้จากเบราว์เซอร์ที่ใช้งาน ซึ่งอาจจะส่งผลกระทบกับการใช้งานเว็บไซต์ได้

  • คุกกี้สำหรับการวิเคราะห์และวัดผลการทำงาน (Performance Cookies)

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากคุณไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้

บันทึกการตั้งค่า