‘ลาโม’ หญิงสาวทิเบต จากเหยื่อความรุนแรงในครอบครัว สู่ผู้จุดประกาย LhamoAct

1123
entertainment-lhamoact-stopnotacting
entertainment-lhamoact-stopnotacting

ความรุนแรงในครอบครัว เป็นสิ่งที่ไม่มีทางยอมรับได้ด้วยประการทั้งปวง ไม่ว่าจะเกิดขึ้นกับใครก็ตาม และนี่คือเรื่องราวของ “ลาโม” หญิงสาวชาวทิเบตที่ได้ตกเป็นหนึ่งในเหยื่อของความรุนแรงภายในครอบครัวที่ถูกกระบวนการยุติธรรมหักหลัง จนต้องพบเจอกับจุดจบอันน่าเศร้า ที่ฉากฆาตกรรมของเธอนั้นได้รับการถ่ายทอดไปทั่วโลก

“ลาโม” (Lhamo) คือหญิงสาวธรรมดาคนหนึ่ง

หญิงสาวธรรมดาคนหนึ่งที่เกิดและเติบโตในหมู่บ้าน งาบา (Ngaba) ประเทศทิเบต โดยครอบครัวของลาโม มีพื้นฐานที่ค่อนข้างยากจน ทำให้ที่บ้านของเธอประกอบอาชีพเก็บสมุนไพรบนภูเขา ซึ่งถึงแม้ชีวิตจะยากลำบากเพียงใด ลาโมก็ยังเป็นเด็กที่ดีเสมอ

ลาโมใช้ชีวิตเช่นนั้นเรื่อยมาจนกระทั่งอายุได้ 18 ปี เธอก็ได้พบกับผู้ชายคนหนึ่งจากหมู่บ้านใกล้เคียง ชื่อว่า ถัง ลู่ (Tang Lu) และหลังจากที่ได้พบกัน ทั้งคู่ก็ถูกใจและคบหากัน ก่อนที่ไม่นานนัก พวกเขาก็ตัดสินใจแต่งงานกัน ลาโมได้ย้ายออกจากบ้านไปอยู่กับถังเพื่อสร้างครอบครัวด้วยกัน ซึ่งทั้งคู่ก็ได้มีลูกชายด้วยกัน 2 คน

ถึงแม้จะมีลูกด้วยกัน แต่ความรักของถังและลาโมดูเหมือนจะไปด้วยกันไม่ค่อยได้สักเท่าไหร่ แถมพักหลัง ถังยังใช้ความรุนแรงทำร้ายร่างกายลาโมอยู่เสมอ โดยมีหลายครั้ง ที่เพื่อนๆ หรือญาติของเธอ ต้องเห็นใบหน้าของที่เต็มไปด้วยรอยฟกช้ำจากการถูกทำร้ายมา

สภาพร่างกายว่าแย่แล้ว แต่สภาพจิตใจของลาโมนั้นแย่กว่า โดยตลอดเวลาที่เธออยู่กินกับถัง ลาโมถูกสามีของตัวเองด่ากราดด้วยถ้อยคำแรงๆ รวมถึงได้รับการข่มขู่อีกสารพัด และที่สำคัญ เธอยังมีลูกอีก 2 คน ซึ่งในวันหนึ่งก็อาจจะตกเป็นเหยื่อความรุนแรงด้วยน้ำมือของผู้เป็นพ่อเมื่อไหร่ก็ได้ และหลังจากครุ่นคิดอยู่นาน ท้ายที่สุดในเดือนมีนาคม ปี 2020 ลาโมก็ตัดสินใจที่จะขอหย่าขาดกับถังผู้เป็นสามี

แต่ปรากฏว่า หลังจากที่ลาโมและถังหย่ากันไปได้เพียงไม่กี่วัน เธอก็กลับไปจดทะเบียนสมรสกับถังอีกครั้ง โดยลาโมเล่าให้น้องสาวของตัวเองที่ชื่อ ดอลมา ฟังว่า หลังจากที่หย่ากันไป นายถังก็คอยตามมารังควานเธออยู่ตลอด แถมยังขู่ฆ่าเธอและลูกๆ อีกด้วย หากว่าลาโมไม่ยอมกลับไปแต่งงานกับเขาอีกครั้ง ซึ่งคำขู่นี้มันให้ลาโมจำเป็นต้องยอมและตกลงแต่งงานกับถังใหม่อีกครั้ง ทั้งๆ ที่เพิ่งหย่ากันไปได้ไม่กี่วันเท่านั้น

อันที่จริงแล้ว ก่อนที่เธอจะตัดสินใจจดทะเบียนสมรสใหม่อีกครั้ง ลาโมได้แจ้ง ตำรวจถึง 2 ครั้ง ว่ากำลังถูกสามีเก่ารุกล้ำความเป็นส่วนตัว แต่ตำรวจกลับเพิกเฉยต่อคำร้องของเธอ ไม่แม้แต่จะส่งเจ้าหน้าที่มาตรวจดูด้วยซ้ำ

ซ้ำร้าย สองสัปดาห์หลังจากที่พวกเขาแต่งงานกันใหม่ ลาโมยังคงถูกถังทำร้ายร่างกายอย่างต่อเนื่องแถมยังรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้นลาโมจึงเดินทางไปแจ้งตำตรวจด้วยตัวเองถึงสถานี โดยเธอโชว์หลักฐานเป็นแผลฟกช้ำมากมายบนใบหน้าจากการโดนนายถังผู้เป็นสามีทำร้ายแทบทุกวันให้ตำรวจดู แต่สิ่งที่ตำรวจตอบกลับมา มันทำให้ลาโมแทบสิ้นหวัง ว่า “เรื่องนี้จึงเป็นเรื่องส่วนตัวของครอบครัว ตำรวจไม่สามารถช่วยอะไรได้”

ในเมื่อตำรวจท้องถิ่นไม่สามารถช่วยเหลืออะไรเธอได้ ลาโมจึงเปลี่ยนไปขอความช่วยเหลือจากหน่วยงานท้องถิ่นของสหพันธ์สตรีแห่งประเทศจีนแทน ซึ่งหน่วยงานนี้ เป็นหน่วยงานของรัฐบาล ที่รับผิดชอบในการปกป้องสิทธิสตรีโดยเฉพาะ

ลาโมเล่าว่า นอกจากเรื่องพฤติกรรมชอบทำร้ายร่างกายของถังแล้ว เธอเองยังเล่าเรื่องที่เหล่าตำรวจเพิกเฉยต่อคำร้องของเธอ ทั้งๆ ที่วันที่เธอไปแจ้งความ ใบหน้าเธอมีแต่รอยฟกช้ำ ซึ่งใครดูก็รู้ว่าเธอถูกทำร้ายมามากขนาดไหนแต่ตำรวจผู้มีหน้าที่ช่วยเหลือประชาชนแท้ๆ กลับเมินเฉย แถมลาโมยังบอกอีกว่า อาจจะมีผู้หญิงอีกหลายคนที่ตกอยู่ในสถานการณ์ที่แย่กว่าเธออีก แล้วใครจะช่วยผู้หญิงเหล่านั้นล่ะ

และในระหว่างที่ทางสหพันธ์สตรีแห่งประเทศจีนกำลังสืบสวนเพื่อหาข้อมูลเพิ่มเติม เพื่อความปลอดภัย ดอลมาผู้เป็นน้องสาว ก็พยายามติดต่อหาที่พักให้ลาโมและลูกๆ ให้อยู่ห่างไกลจากนายถังเข้าไว้ และเมื่อถังเห็นว่าลาโมหายไป แน่นอนว่าเขาก็อาละวาด ออกตามหาเธอทันที เขาออกตามหาลาโมตามสถานที่ต่างๆ รวมถึงบ้านของดอลมา น้องสาวของลาโม และเมื่อดอลมาไม่ยอมบอกถึงที่อยู่ของลาโม ถังก็ชกเข้าไปที่ตาซ้ายของดอลมาอย่างจังจนกระดูกเบ้าตาแตก ซึ่งตำรวจก็ไม่ยอมจับกุมหรือลงโทษอะไรถังเลยแม้แต่น้อย

ลาโมและลูกๆ พยายามหลบหนีเรื่อยมา จนกระทั่งสหพันธ์สตรีแห่งประเทศจีน ได้ส่งคำร้องไปยังศาล พร้อมข้อมูลหลักฐานต่างๆ ในการช่วยสนับสนุนให้ลาโมสามารถฟ้องหย่ากับนายถังได้ ซึ่งเมื่อศาลได้ทำการพิจารณาข้อมูลต่างๆ แล้ว ก็ได้มีคำสั่งอนุญาตให้ทั้งคู่หย่าร้างกันเป็นครั้งที่สองได้ แต่ศาลให้ถังได้สิทธิ์ในการดูแลลูกทั้งสองคนอย่างเต็มที่ ซึ่งรอบนี้เธอได้ย้ายถิ่นถานห่างออกไป เพื่อจะเริ่มต้นชีวิตใหม่ของเธอในอาชีพเกษตรกร

การได้ทำอาชีพเกษตรกรท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่งดงาม กลายเป็นความสุขที่เรียบง่ายของลาโม ซึ่งเธอเองก็อยากจะเผยแพร่บรรยากาศแห่งความสุขและกิจวัตรต่างๆ ของเธอ ให้กับผู้คนอื่นรอบโลกได้ชื่นชมเช่นกัน นั่นทำให้เธอใช้ Platform ชื่อว่า “โต่วอิน” (Douyin) ที่มีลักษณะการใช้งานคล้ายกับ TikTok แต่ถูกทำมาเพื่อใช้ในประเทศจีนโดยเฉพาะ

ถึงแม้ว่าลาโมจะต้องฝ่าฟันประสบการณ์แย่ๆ มามากมาย แต่ด้วยความที่เธอเป็นคนน่ารักน่าเอ็นดู แถมยังมีคอนเทนต์ที่น่าสนใจ ไม่ว่าจะเป็นการที่ลาโมได้โพสต์วิดีโอเกี่ยวกับการทำอาหาร การเก็บสมุนไพรบนภูเขารอบๆ หมู่บ้านของเธอ รวมไปถึงการร้องเพลง ท่ามกลางธรรมชาติอันงดงาม จนทำให้มีผู้ติดตามเธอมากกว่า 200,000 คน

แต่แล้ว ในวันที่ 14 กันยายน ปี 2020 เย็นวันนั้น ขณะที่ลาโมกำลัง Live สดผ่านโต่วอินตามปกติเหมือนที่เธอเคยทำเป็นประจำ จู่ๆ ถัง อดีตสามีของเธอ ก็ได้บุกเข้ามาทำร้ายร่างกายเธออย่างหนักแล้วเอาน้ำมันเบนซินราด และจุดไฟเผาลาโมทั้งเป็น ต่อหน้าต่อตาคนกว่า 400 คนที่กำลังชมการ Live สดอยู่ ซึ่งลาโมได้รับการช่วยเหลือได้ทัน แต่สุดท้ายลาโมก็ถูกนำส่งโรงพยาบาล แต่ว่าด้วยความสาหัสของการโดนเผาทั้งเป็นทำให้เธอทนพิษบาดแผลไม่ไหว สองอาทิตย์ให้หลัง ลาโมก็จากโลกนี้ไปอย่างทุกข์ทรมานและน่าเศร้า

ส่วน ถัง อดีตสามีของลาโมคราวนี้ไม่สามารถหนีรอดไปได้แน่นอน เพราะการ Live สดของลาโมครั้งนั้นก็กลายมาเป็นหลักฐานชั้นดี โดยเขาถูกจับ ถูกตัดสินว่ามีความผิดจริง และโดนลงโทษประหารชีวิต

คดีของลาโม กลายเป็นคดีที่ได้รับความสนใจระดับประเทศในทันที สิ่งนี้มันได้สะท้อนถึงข้อบกพร่องของระบบกฎหมายของจีนในการปกป้องสตรีจากความรุนแรงในครอบครัว โดยมีหลายครั้งที่พวกเขาพบว่า เหยื่อได้ไปขอความช่วยเหลือซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่เช่นเดียวกับลาโม แต่สิ่งที่พวกเธอได้รับ กลับเป็นการเมินเฉย

มีรายงานว่า ในแต่ละปี มีผู้หญิงมากกว่า 900 คนที่ถูกทำร้ายจนเสียชีวิตด้วยน้ำมือของสามีหรือคู่รักของตัวเอง ซึ่งแม้จะมีกฎหมายว่าด้วยความรุนแรงเกี่ยวกับครอบครัว แต่การบังคับใช้ยังไม่ชัดเจนและการลงโทษก็เบาบาง ในขณะที่สังคมกลับตีตราหรือด้อยค่าผู้คนที่ทำการหย่าร้าง เป็นการสร้างความกดดันให้กับเหยื่อการล่วงละเมิดให้ต้องอดทน และยอมจำนนต่อการโดนทำร้ายไปเรื่อยๆ

คดีนี้ของลาโมจึงเป็นตัวกระตุ้นประเด็นนี้ในสังคมจีนเป็นอย่างมาก ถึงขนาดนาย สี จิ้นผิง ผู้นำระดับสูงของจีน ได้กล่าวในที่ประชุมสหประชาชาติว่า “การคุ้มครองสิทธิสตรีต้องกลายเป็นคำมั่นสัญญาระดับชาติ” ส่วนในโลกโซเชียลมีเดียก็มีการติดแฮชแท็ก #LhamoAct กันแทบทุก Platform ยอดนิยมในประเทศจีน รวมถึงแฮชแท็กที่ประณามความล้มเหลวของตำรวจในการป้องกันชีวิตของเหยื่อเอาไว้ อย่างแฮชแท็ก #StopNotActing และ #PunishNotActing สุดท้ายแล้วก็หวังว่า การเสียชีวิตของลาโมนั้น จะไม่สูญเปล่าไปเฉยๆ

สามารถรับฟัง File Not Found EP. 127 | Live ศพ! สยอง แบบเต็มๆ ได้ที่ : https://youtu.be/8DELvrWv3wQ

#missiontopluto
#missiontoplutopodcast
#filenotfoundpodcast

Advertisements

 

Advertisements
Advertisements