Lady of The Lake
ในวันที่ 6 กรกฎาคม ปี 1940 ณ ที่ทะเลสาบเครสเซนต์ (Lake Crescent) รัฐวอชิงตัน ประเทศสหรัฐอเมริกา วันนั้นเป็นวันที่อากาศดี แสงแดดจ้า อบอุ่น เหมาะสำหรับนักท่องเที่ยวสายธรรมชาติเป็นอย่างยิ่ง ทำให้ หลุยส์ โรล์ฟ (Louis Rolfe) และพี่ชายของเขา เดินทางมาออกเรือตกปลาที่ทะเลสาบแห่งนี้
แต่ในขณะที่พวกเขากำลังนั่งอยู่เรือท่ามกลางความเงียบสงบของธรรมชาตินั้น หลุยส์ก็ได้ชำเลืองไปเห็นบางอย่าง ที่กำลังลอยอยู่เหนือผิวน้ำใกล้ๆ กับชายฝั่ง เขาจึงตัดสินใจพายเรือไปตรวจสอบดูด้วยความสงสัย
และเมื่อพวกเขาพายเรือมาใกล้ๆ ก็พบว่า วัตถุนั้นลักษณะมันเหมือนซากสัตว์ขนาดใหญ่ ที่น่าจะจมน้ำตาย และลอยขึ้นอืดขึ้นมา แต่เมื่อพวกเขาเพ่งมองดูดีๆ เขาก็พบว่า มันไม่ใช่สัตว์! แต่มันคือ ศพของมนุษย์อย่างแน่นอน ซึ่งเป็นศพของมนุษย์เพศหญิงด้วย
หลุยส์และพี่ชายตกใจมาก พวกเขารีบพายเรือขึ้นฝั่งเพื่อไปเรียกตำรวจมาทันที จนเวลาผ่านไปไม่นาน ก็มีเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้ามาตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุ รวมถึงนำร่างของผู้หญิงคนนั้นขึ้นมาชันสูตร
สิ่งแรกที่ตำรวจได้จากการชันสูตรก็คือสาเหตุการตายของหญิงสาวนิรนามคนนี้ โดยพวกเขาวิเคราะห์ว่า ผู้หญิงคนนี้ถูกทุบตีอย่างรุนแรงบริเวณใบหน้า ก่อนที่จะถูกรัดคอจนเสียชีวิต และนำร่างมาถ่วงกับก้อนหินขนาดใหญ่ ให้จมอยู่ใต้ทะเลสาบแห่งนี้
นอกจากนี้พวกเขาก็พบกับสิ่งที่น่าประหลาดใจเป็นอย่างมาก เพราะว่าสภาพศพนั้นยังดูดีมากๆ ทีมแพทย์ที่ชันสูตรพบว่า ศพแทบไม่มีกลิ่นเหม็นเน่าเลย ผิวหนังของศพยังคงมีที่สีซีดขาว แถมอวัยวะหลายส่วนยังไม่มีร่องรอยการย่อยสลายอีกด้วย แต่เมื่อเวลาผ่านไป เมื่อเวลาผ่านไปนานเข้า เชือกที่ผูกร่างของเธอกับก้อนหิน ก็เปื่อยและขาดไปเสียก่อน ทำให้ร่างของเธอลอยขึ้นมาสู่ผิวน้ำ และถูกพบในที่สุด
ซึ่งสาเหตุก็คาดว่า ศพๆ นี้ ได้ถูกจมอยู่ในทะเลสาบที่อุณหภูมิของน้ำที่มีความเย็นจัด ทำให้สามารถคงรูปแบบหรือสภาพศพให้ค่อนข้างสมบูรณ์เลยทีเดียวอย่างไรก็ตาม ด้วยความที่ศพๆ นี้น่าจะจมอยู่ในน้ำเป็นระยะเวลานาน มันทำให้ร่างกายของผู้ตาย ไปทำปฏิกิริยาทางเคมี จนทำให้เนื้อสัมผัสของศพ มีความลื่นๆ เมือกๆ นิ่มๆ คล้ายกับสบู่ก้อนนั่นเอง
แต่ถึงแม้ว่า อวัยวะหลายส่วนยังคงสภาพดีไม่มีการย่อยสลาย แต่อวัยวะสำคัญอย่างมือของเธอ กลับถูกย่อยสลายไปแล้วทำให้ตำรวจไม่สามารถระบุตัวตนของเธอผ่านลายนิ้วมือได้ ตำรวจจึงต้องหันไปขอความช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่พยาธิวิทยา ให้มาทำการตรวจสอบสภาพศพ เพื่อคาดคะเนช่วงเวลาของการเสียชีวิต ซึ่งก็พบว่าผู้หญิงคนนี้ถูกฆาตกรรม และถ่วงน้ำอยู่ในทะเลสาบแห่งนี้มาเป็นเวลา 3 ปีแล้ว
นั่นทำให้ตำรวจต้องเร่งระบุตัวตนของหญิงสาวคนนี้ให้ได้ แต่ในเมื่อใบหน้าก็ระบุไม่ได้ ลายนิ้วมือก็ไม่มีอีก สิ่งที่ตำรวจใช้ในการระบุตัวตนในขั้นถัดไปก็คือ รูปแบบของฟันหรือประวัติทันตกรรมนั่นเอง เนื่องจากว่าพวกเขาว่า หญิงสาวคนนี้มีฟันซี่หนึ่งที่ทำจากทอง ซึ่งมีลักษณะโดดเด่นมากพอที่จะตีวงการสืบสวนให้แคบลงมาจนหาตัวผู้ที่มีฟันซี่ทองแบบนี้เหมือนกันได้
ตำรวจจึงได้ส่งรูปฟันซี่นี้ออกไปหาหมอฟันกว่า 5000 คน เพื่อช่วยกันสำรวจว่ามีหมอฟันคนใดบ้าง ที่เคยทำฟันให้คนไข้แบบนี้หรือเคยไปเห็นใครที่มีฟันลักษณะนี้ไหม และในที่สุด หลังจากกินเวลาไปร่วม 14 เดือน ก็มีทันตแพทย์คนหนึ่งติดต่อกลับมา โดยทันตแพทย์คนนั้นยืนยันว่าศพที่ตำรวจเจอคือศพของผู้หญิงที่ชื่อว่า แฮลลี อิลลิงเวิร์ธ (Hallie Illingworth)
ก่อนที่จะเสียชีวิต แฮลลี อิลลิงเวิร์ธ ทำงานเป็นเด็กเสิร์ฟอยู่ในร้านอาหารแถวๆ ทะเลสาบเครสเซนต์ ซึ่งเป็นที่ที่เธอได้พบกับ มอนตี อิลลิงเวิร์ธ (Monty Illingworth) ผู้ที่ภายหลังจะกลายมาเป็นสามีคนที่ 3 ของเธอ หลังจากที่เธอผ่านการหย่าร้างมาแล้ว 2 ครั้ง
โดยปกติแล้ว มอนตี ทำอาชีพคนรถขนเบียร์ ดูเผินๆ เหมือนจะไม่มีพิษภัยอะไร แต่เขาเป็นคนติดสุรา และเมื่อเหล้าเข้าปากเมื่อไหร่ มอนตี ก็จะกลายร่างเป็นอีกคนที่ อารมณ์ฉุนเฉียว เกรี้ยวกราด โมโหร้าย และแน่นอนว่า เขาทำร้ายร่างกายภรรยาของตัวเองอย่างแฮลลีเป็นประจำ ถึงขั้นมีประวัติอยู่ในบันทึกประจำวันของตำรวจด้วย
มอนตีจึงตกเป็นผู้ต้องสงสัยในคดีฆาตกรรม คุณ แฮลลี ภรรยาของเขาทันที ตำรวจจึงได้เริ่มออกตามตัวมอนตีและไม่นานก็ไปเจอตัวเขาที่เมืองลองบีช รัฐแคลิฟอร์เนีย แต่มอนตีปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา แถมยังบอกอีกว่าศพนั้นไม่มีทางเป็นของแฮลลีแน่นอน เพราะเขาเพิ่งเห็นเธอเมื่อไม่กี่วันก่อนเอง
เมื่อเป็นดังนี้ ตำรวจจึงทำการเชิญเพื่อนๆ ของแฮลลี มายืนยันศพ โดยพวกเธอได้แจ้งว่า เสื้อผ้าที่ศพสวมใส่เป็นของแฮลลีแน่นอน พวกเธอมั่นใจและจำได้อย่างแม่นยำ คำให้การนี้รวมกับข้อมูลจากทันตแพทย์ ทำให้ข้อสันนิษฐานว่า มอนตีคือฆาตกรนั้น ดูมีน้ำหนักและน่าเชื่อถือขึ้นมาทันที เหลือเพียงแต่ “หลักฐาน” ที่ตำรวจต้องไปตามหามามัดตัวมอนตีให้ได้
หลักฐานที่ว่าก็คือ เชือกที่ผูกร่างของแฮลลีไว้กับก้อนหินนั่นเอง โดยตำรวจพยายามหาข้อมูลกับเกี่ยวเชือกเส้นนี้ และในที่สุด พวกเขาก็พบกับเจ้าของร้านค้าคนหนึ่งใกล้เคียงกับทะเลสาบเครสเซนต์ ที่เป็นจุดเกิดเหตุ แถมเจ้าของร้านคนนี้ยังได้ยืนยันว่า เขาเคยพบมอนตีครั้งหนึ่ง โดยในวันนั้น มอนตีได้มาขอยืมเชือกจากร้านเขาไปเป็นความยาว 50 ฟุต หรือราวๆ 15 เมตร
ตำรวจจึงนำเชือกที่พบกับศพของแฮลลี ไปเทียบกับเชือกที่ร้านค้าแห่งนี้ และปรากฏว่ามันเป็นเชือกชนิดเดียวกันเลย จึงทำให้มอนตีไม่ได้ทางดิ้นไปทางไหนได้อีก ต้องยอมสารภาพความผิดออกมาในชั้นศาล
โดยมอนตีเล่าว่า ในวันเกิดเหตุ เขาและแฮลลีมีปากเสียงกันอย่างรุนแรง ก่อนที่มอนตีจะลงมือใช้กำลังกับเธอเหมือนทุกครั้ง เพียงแต่ครั้งนี้ เขาควบคุมอารมณ์ไว้ไม่อยู่ ทำให้พลั้งมือบีบคอและทุบตีเธอจนเสียชีวิตคาที่ พอรู้ว่าแฮลลีสิ้นลม มอนตีก็ตกใจมาก และคิดว่าควรต้องรีบนำศพไปซ่อนที่ใดที่หนึ่งที่ไม่มีคนหาเจอ เขาจึงนำผ้าปูที่นอนมาห่อศพก่อนจะขับรถไปยังทะเลสาบเครสเซนต์ แล้วใช้เชือกมัดศพของแฮลลีไว้กับก้อนหินเพื่อถ่วงน้ำไว้ โดยหวังว่าเธอจะอยู่ที่ใต้ก้นทะเลสาบไปตลอดกาล
คณะลูกขุนใช้เวลาราวๆ สี่ชั่วโมงในการพิจารณาคดี ก่อนที่จะมีคำพิพากษาว่า มอนตี มีความผิดจริงโทษฐานฆาตกรรมผู้อื่นโดยไม่ได้ไตร่ตรองไว้ก่อน โดยเขาถูกตัดสินจำคุกตลอดชีวิต มอนตีต้องใช้ชีวิตในเรือนจำรัฐวอชิงตัน ที่วัลลาวัลลา ก่อนที่เขาจะเสียชีวิตในอีก 32 ปีต่อมา และหลังจากที่เรื่องราวนี้ถูกนำมาเผยแพร่ ผู้คนก็ต่างเรียกหญิงสาวที่ชื่อ แฮลลี อิลลิงเวิร์ธ คนนี้ว่า “The Lady of the Lake”
สามารถรับฟัง File Not Found EP. 129 | Lady of The Lake ทะเลศพสยอง แบบเต็มๆ ได้ที่: https://youtu.be/FaNVCh9CshE
#missiontopluto
#missiontoplutopodcast
#filenotfoundpodcast