ย้อนกลับไปเพียง 10-20 ปีก่อน ชีวิตของมนุษย์เราแตกต่างจากปัจจุบันอย่างไม่น่าเชื่อ เป็นต้นว่าโทรศัพท์ ณ ตอนนั้นยังเต็มไปด้วยปุ่มกด การส่งเพลงยังต้องทำผ่านบลูทูธ และการจะดูภาพยนตร์หรือละครยังต้องติดตามกันผ่านโทรทัศน์แบบรายสัปดาห์
เพียงแค่พริบตาเดียว ปัจจุบันโลกเต็มไปด้วยหน้าจอที่ใช้งานได้ง่ายเพียงปลายนิ้วสัมผัส และไม่ว่าจะฟังเพลงหรือดูหนังก็มีบริการสตรีมมิงให้เลือกมากมาย พร้อมเนื้อหาไม่จำกัด
จะเห็นได้ว่าโลกของเรามีการเปลี่ยนแปลงแทบจะตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นเพราะการมาถึงของเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย ค่านิยมที่เปลี่ยนไป ปัญหาเศรษฐกิจ สังคม หรือโรคระบาด แทบทุกด้านของชีวิตเรามีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง รูปแบบและสภาพแวดล้อมของ “โลกการทำงาน” ก็เป็นหนึ่งด้านที่มีการเปลี่ยนแปลงเช่นกัน
ในอดีต คนทำงานส่วนใหญ่นั้นมีเวลาเข้า-ออกงานที่ชัดเจน ไม่ค่อยยืดหยุ่นนัก เช่นการทำงาน 9 โมงเช้าถึง 5 โมงเย็นหรือที่เรียกกันว่า “Nine to Five” ส่วนออฟฟิศที่ทำงานนั้นก็มีลักษณะเป็น “Cubicle” ที่พนักงานแต่ละคนมีคอกทำงานเป็นของตัวเอง ต่างคนต่างก้มหน้าก้มตาทำงานจนกว่าจะถึงเวลาเลิกงาน ภาพที่เราเห็นนี้สะท้อนถึงความเป็นทุนนิยมซึ่งมองมนุษย์ไม่ต่างจากเครื่องจักร
ในยุคต่อมาองค์กรหันมาออกแบบออฟฟิศที่เป็นมนุษย์มากขึ้น เช่น “Open Plan Office” หรือออฟฟิศแบบเปิดโล่ง โดยมีจุดมุ่งหมายคือต้องการเพิ่มการทำงานร่วมกันระหว่างพนักงาน (Collaboration) และเพิ่มความคิดสร้างสรรค์ (Creativity) ให้มากขึ้น
อย่างไรก็ตาม หลายคนพบว่า Open Plan Office นั้นทำให้พวกเขาว่อกแว่ก หลายๆ บริษัทเลยตอบโจทย์ด้วยการสร้างออฟฟิศแบบ “Multispace” ที่มีพื้นที่หลากหลายให้เลือก ทั้ง Open Space ให้คนทำงานเป็นกลุ่มร่วมกัน ห้องประชุม ห้องทำงานแบบส่วนตัว ลู่เดินสำหรับเดินไปทำงานไป หรือพื้นที่ในการพักผ่อนหย่อนใจ การออกแบบที่ใส่ใจทั้งสุขภาพกายและสุขภาพจิตนี้ได้รับความนิยมอย่างยิ่งในยุคหลังๆ
ในขณะเดียวกันนั้น เทคโนโลยีก็พัฒนามากขึ้นจนมีโปรแกรมช่วยในการทำงานมากมาย ประกอบกับการระบาดของโควิด-19 ที่เข้ามาเปลี่ยนรูปแบบของการทำงานไปตลอดกาล การเข้าออฟฟิศจึงไม่ใช่เรื่องจำเป็นอีกต่อไป คนจำนวนไม่น้อยจึงนิยมทำงานจากบ้าน หรือไปทำงานในพื้นที่ที่สาม อย่าง “Coworking Space” กันมากขึ้นนั่นเอง
แต่ Coworking Space นั้นเพิ่มความสุขและ Productivity ให้คนทำงานอย่างไร เราจะมาหาคำตอบกัน
หลังจากการระบาดของโควิด-19 การทำงานเปลี่ยนมาเป็นรูปแบบ “Hybrid” และ “Remote Work” กันมากขึ้น พนักงานจำนวนไม่น้อยพบว่าตนเองมีความสุขมากกว่า และทำงานได้ดีมากกว่าเมื่อทำงานจากที่บ้าน แต่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าการทำงานจากที่บ้านนั้นก็มีข้อเสียอยู่บ้าง ทั้งในเรื่องความโดดเดี่ยว การที่พื้นที่พักผ่อนถูกรุกล้ำ และการทำงานร่วมกันที่ทำได้ยากมากขึ้น
แต่การจะกลับไปทำงานที่ออฟฟิศ 5 วันต่อสัปดาห์ก็เป็นเรื่องที่ทำได้ยาก เพราะข้อเสียอย่างเวลาและค่าใช้จ่ายในการเดินทาง ประกอบกับพนักงานจำนวนมากคุ้นเคยกับการมีอิสระในการเลือกสถานที่และเวลาทำงานไปเสียแล้ว
เมื่อการ Work From Home นั้นโดดเดี่ยวมาก แต่การกลับไปออฟฟิศก็ไม่ตอบโจทย์กับใครหลายๆ คนอีกต่อไป ทีมงานจาก Harvard Business Review จึงได้ทำการศึกษาเกี่ยวกับพื้นที่ที่สาม เช่น คาเฟ่ ล็อบบี้โรงแรม บ้านเพื่อน และ Coworking Space ว่าพื้นที่ไหนตอบโจทย์กับการทำงานมากที่สุด
และท่ามกลางตัวเลือกเหล่านี้ พวกเขาพบว่า Coworking Space เป็นตัวเลือกที่น่าจับตามองที่สุด และเหมาะกับการทำงานยิ่งกว่าบ้านและออฟฟิศเสียอีก เพราะมีข้อดีหลายอย่าง เช่น
- พนักงานรู้สึกว่ามีตัวเลือกเพิ่มขึ้นเพราะเลือกได้ว่าจะทำงานจากที่ไหน
- สามารถเลี่ยงปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงานได้ (โดยกว่า 52% เห็นด้วยกับประโยชน์ข้อนี้มาก)
- เลือกได้ว่าจะนั่งทำงานกับใคร เพราะพื้นที่ Coworking Space นั้นเต็มไปด้วยผู้คนหลากหลายอาชีพ จากหลากหลายบริษัท เรามีโอกาสได้พบกับความสัมพันธ์ใหม่ๆ และได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ จากผู้คนที่หลากหลายเหล่านี้
- เป็นการพักเบรกจาก “ความกดดัน” และ “การแข่งขัน” ที่ต้องเผชิญเมื่ออยู่ออฟฟิศ โดยที่ไม่โดดเดี่ยวเหมือนการทำงานจากที่บ้าน
จึงสรุปได้ว่าการทำงานจากพื้นที่ที่สามอย่าง Coworking Space นั้นจริงๆ แล้วมีผลต่อความเป็นอยู่ที่ดีของพนักงานมากกว่าที่คิด การศึกษายังได้แนะนำให้องค์กรหันมาสนับสนุนให้พนักงานออกไปทำงานในพื้นที่ที่สามมากขึ้น เพราะแม้ในปี 2022 ตัวเลขของคนที่ทำงานจาก Coworking Space จะมากถึง 3 ล้านคน แต่ก็ยังมีคนจำนวนมากที่ยังไม่เคยได้ออกไปทำงานในพื้นที่ที่สามเช่นนี้
สำหรับใครที่กำลังมองหาพื้นที่ใหม่ๆ ในการนั่งทำงาน วันนี้ Mission To The Moon จะมาแนะนำให้ทุกคนรู้จัก “Playroom” Coworking Space สัญชาติไทยที่มาพร้อมกับบริการดีๆ มากมาย
สำหรับองค์กรที่หันมาทำงานแบบ Hybrid กันมากขึ้นและอยากจะประหยัดค่าใช้จ่าย เช่น ค่าเช่าตึกสำนักงาน ค่าน้ำ หรือค่าไฟ ทาง Playroom มี “Coworking Space” ที่สะดวกสบายและครบวงจรไว้บริการ ไม่ว่าจะทำงานเดี่ยว หรือทำงานเป็นทีมก็เลือกพื้นที่ทำงานได้อย่างอิสระ นอกจากนั้นยังมี Meeting Space สำหรับการประชุมให้บริการอีกด้วย
ที่สำคัญคือ Playroom ให้ลูกค้าสามารถเลือกปรับวันและเวลาเปิด-ปิดได้ตามความต้องการของผู้ใช้งาน ดังนั้นไม่ว่าจะทำงานดึกหรือทำงานเสาร์-อาทิตย์ก็ไม่ใช่ปัญหาอีกต่อไป
อีกบริการที่น่าสนใจจาก Playroom ก็คือ “Virtual Office” หรือ ออฟฟิศเสมือนที่สามารถเช่าเพื่อประกอบธุรกิจได้ เช่น การจดทะเบียนบริษัทหรือการจด Vat โดยทาง Playroom สามารถออกเอกสารที่จำเป็นให้ได้ สิ่งที่ลูกค้าจะได้คือ ที่อยู่ ตู้จดหมาย และสิทธิ์ในการเข้าใช้บริการ Co-Working Space ของ Playroom นั่นเอง
ปัจจุบัน Playroom มีพื้นที่ให้บริการด้วยกัน 2 สาขา ได้แก่ สาขาอโศก และ สาขาปุณณวิถี (สุขุมวิท) และเนื่องในโอกาสครบรอบ 3 ปีของบริษัท Playroom ขอมอบสิทธิพิเศษให้ลูกค้าทั้งเก่าและใหม่ เป็นส่วนลดการจดทะเบียน Virtual Office จด 1 ปี แถมฟรี 3 เดือน และส่วนลดสำหรับการใช้ Co-Working Space และห้องประชุม ตั้งแต่วันนี้ไปจนถึงเดือนกันยายน 2566
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
Facebook : Playroom Office (www.facebook.com/playroomoffice)
หรือ Line : Playroomoffice
#missiontothemoon
#missiontothemoonpodcast
#PlayroomOffice #VirtualOffice #Coworking
