“Luxury to me is not about buying expensive things;
Oscar de la Renta
it’s about living in a way where you appreciate things.”
ออสการ์ เดอ ลา เรนตา ดีไซเนอร์ชื่อดังแห่งยุค 60s เจ้าของแบรนด์ Oscar de la Renta ได้พูดถึงเรื่อง ‘ความหรูหรา’ ไว้ว่า สำหรับเขาแล้ว ความหรูหราไม่ได้เกี่ยวกับการซื้อของแพง แต่เป็นการใช้ชีวิตเพื่อชื่นชมคุณค่าของสิ่งต่างๆ
เช่นกัน บางคนมองว่าการซื้อของแบรนด์นั้นให้อะไรมากกว่าของคุณภาพ เหตุผล ที่คนคนหนึ่งตัดสินใจซื้อ อาจเป็นเพราะ ‘ความรู้สึก’ หรือ ‘ประสบการณ์’ ที่แบรนด์ให้ล้วนๆ
เป็นเช่นนั้นจริงหรือ?
เหตุใดมนุษย์ที่ถูกมองว่าใช้ ‘เหตุผล’ มากกว่า ‘อารมณ์’ ถึงตัดสินใจควักกระเป๋า ลงทุนซื้อสินค้าราคาแพง ทั้งๆ ที่มีทางเลือกทดแทนที่ราคาถูกกว่า เป็นเพราะแบรนด์ให้อะไรมากกว่าความหรูหราจริงๆ หรือแท้จริงแล้วมนุษย์ไม่ได้มีเหตุผลอย่างที่เราคิด
Luxury is an emotion เมื่อความหรูหราเป็นเรื่องของอารมณ์
หากถามว่าทำไมมนุษย์เราที่ถูกเรามองว่า ‘มีเหตุมีผล’ ถึงยอมควักกระเป๋าซื้อของหรูหราอาจทำให้หลายคนเกิดความสงสัยขึ้นมาตามๆ กัน (แน่นอนว่าไม่ใช่ในกรณีที่เรามีเงินเหลือใช้ หากเป็นกรณีนั้น การจะซื้อของแพงๆ คงไม่ใช่เรื่องแปลก) แต่ในกรณีที่อาจทำให้หลายคนตั้งคำถาม คือกรณีของกลุ่มคนที่มีรายได้ปานกลางที่ทำงานอย่างหนักเพื่อลงทุนซื้อกระเป๋าแพงๆ สักใบหรือยอมเป็นหนี้บัตรเครดิตเพื่อสิ่งเหล่านี้ต่างหาก
หากตอบว่าเป็นเพราะเรื่อง‘คุณภาพ’ และ ‘ฟังก์ชันการใช้งาน’ อย่างเดียว ต้องยอมรับว่าเราสามารถหาสินค้าคุณภาพดีเกือบเท่าเทียม แต่ราคาเหมาะสมกว่าได้
ดังนั้นคำตอบมีเพียงอย่างเดียวคือ จริงๆ แล้วมนุษย์เราไม่ได้ตัดสินใจด้วย ‘เหตุผล’ แต่ตัดสินใจด้วย ‘อารมณ์’
ในอดีต เราเชื่อกันว่ามนุษย์เราใช้ตรรกะ (Logic) ในการตัดสินใจ แต่การศึกษายุคหลังๆ จากการสแกน MRI ดูการทำงานของสมอง ทำให้นักวิทยาศาสตร์ได้เรียนรู้ว่าจริงๆ แล้ว อารมณ์นั้นส่งผลต่อการกระทำหรือต่อการตัดสินใจมากกว่าที่คิด
เจอรัลด์ ซอลท์แมน ศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด กล่าวว่า กว่า 95% ของการตัดสินใจเกิดขึ้นในระดับจิตใต้สำนึก (Subconcious) มีงานวิจัยหนึ่งได้ศึกษาการตัดสินใจของกลุ่มคนที่ได้รับผลกระทบทางสมองในด้านอารมณ์ (Emotion) ผลพบว่าคนเหล่านี้ไม่สามารถตัดสินใจได้
แน่นอนว่าการค้นพบนี้ค้านกับความเชื่อเดิมที่ว่า ‘มนุษย์มีเหตุผล’ มากๆ และยังถือเป็นการค้นพบที่สำคัญต่อวงการการตลาด เพราะเราเข้าใจผู้บริโภคมากขึ้น เราเข้าใจมากกว่าเดิมว่าจะทำอย่างไรให้คนซื้อของของเรา
ทำความรู้จักกับสินค้าแบรนด์เนมสินค้าที่ให้มากกว่าความ Luxury
ตลาดสินค้าแบรนด์เนม (Luxury Goods) ก็เข้าใจเรื่องการใช้อารมณ์ในการตัดสินใจซื้อเป็นอย่างดี พวกเขาจึงมุ่งเน้นการนำเสนอเรื่องคุณค่า ความรู้สึกมั่นใจ และความรู้สึกเป็นที่ยอมรับในสังคมของผู้บริโภค
เรารู้กันดีว่า มนุษย์เราพยายามเสาะหาตัวตน (Sense of Self) มาโดยตลอด ในอดีตกาล มนุษย์เราอยู่กันเป็นเผ่ามานับพันๆ ปีและความรู้สึกต้องการที่จะเป็นส่วนหนึ่งนี้ยังอยู่กับเราอยู่ แม้โลกจะเปลี่ยนไป ความพยายามในการ ‘สร้างตัวตน’ ผ่านการเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มต่างๆ ยังคงอยู่ ยกตัวอย่างเช่น เรานิยามตัวตนว่าเราเป็นคนอินดี้ เพราะชอบฟังเพลงแนว Alternative หรือว่าเป็นนิยามว่าตนเป็น Cinephile (ผู้คลั่งไคล้ภาพยนตร์) เพราะเป็นคนชอบดูหนัง
ส่วนหลายๆ คนที่บริโภคสินค้าแบรนด์เนมก็เช่นกัน พวกเขาทำเพื่อสร้างตัวตนให้ตนเองด้วย ‘ความรู้สึก’ ที่แต่ละแบรนด์ให้ ไม่ว่าจะเป็นความเฉพาะตัว (Exclusivity) ความรู้สึกเหนือกว่า (Superiority) หรือบุคลิก (Personality) ต่างๆ ที่ติดมากับแบรนด์ เช่น การใช้ Balenciaga จะให้ความรู้สึกว่าเป็นคนเท่ๆ แหวกแนว
นอกจากช่วยสร้างตัวตนของเราในสังคมแล้ว การใช้สินค้าเหล่านี้ให้อะไรเราอีกไหม
ผลด้านบวกที่มากับการบริโภคสินค้าแบรนด์เนมอันดับแรกคือ “ความมั่นใจ” บทความหนึ่งจากนิตยสาร Time ได้เขียนไว้ว่า คนที่รู้สึกไม่มั่นใจ รู้สึกเสียหน้าหรือเสียเซลฟ์ มักจะหันหน้าเข้าหาการซื้อของแพงๆ เพื่อเป็นการเรียกคืนความมั่นใจให้ตัวเอง
ความมั่นใจเป็นองค์ประกอบที่สำคัญในการ “ประสบความสำเร็จ” ในชีวิต เพราะ
(1) ความมั่นใจทำให้เรากล้าลงมือ ถ้าคนเราไม่มั่นใจในตัวเอง เรามักจะกลัวเกินกว่าจะเริ่มทำอะไรบางอย่าง พูดง่ายๆ คือเราจะยอมแพ้ตั้งแต่ยังไม่ลงสนาม
ยกตัวอย่างเช่น หากเราสมัครงานในฝันไป ความเป็นไปได้จะมีเพียงสองทางคือ ‘ได้งาน’ และ ‘ไม่ได้งาน’ แต่ถ้าหากเรามัวแต่ไม่มั่นใจและไม่ได้ยื่นใบสมัคร ความเป็นไปได้จะเหลือเพียงข้อเดียวเท่านั้น ซึ่งก็คือ ‘ไม่ได้งาน’
(2) ความมั่นใจช่วยให้เรารับมือกับความล้มเหลวได้ดีกว่า ในการทำงาน เราต้องเจอกับความผิดพลาดอยู่เป็นประจำ หากเราจมปลักอยู่กับความผิดพลาด เราคงไม่มีความสุขกับการทำงานและไม่ได้พัฒนาไปไหน แต่ถ้าเราต่อสู้กับความท้าทายตรงหน้าด้วยความเชื่อมั่นว่าครั้งต่อไปจะดีขึ้น เราจะได้โอกาสเรียนรู้และเดินหน้าต่อ
ความมั่นใจทำให้เรามีโอกาสประสบความสำเร็จมากกว่าคนอื่น เพราะมันสอนให้เรากล้าลงมือทำโดยไม่ต้องรอให้ทุกอย่างสมบูรณ์แบบ และสอนให้เราเรียนรู้จากความผิดพลาดนั่นเอง
สุขกับความสำเร็จยิ่งกว่าเคยด้วยสินค้าแบรนด์เนม
นอกจากให้ความมั่นใจแล้วสินค้าหรูหรายังให้เราดื่มด่ำกับ “ความสำเร็จ” ได้ในอีกขั้น ยกตัวอย่าง นาฬิกา Rolex ที่คนนิยมซื้อกันในวันสำคัญๆ อย่างวันเลื่อนตำแหน่ง หรือวันรับปริญญา แต่ในยุคที่คนเราดูเวลาจากโทรศัพท์ เราทราบกันดีว่าผู้บริโภคไม่ได้ซื้อเพราะต้องการใช้ดูเวลากันจริงๆ แต่ซื้อเพียงเพราะ Rolex เหมือนเป็นตัวแทนแห่งการประสบความสำเร็จเสียมากกว่า
คำถามที่ตามมาคือทำไมต้องซื้อนาฬิกาแพงๆ ล่ะ การที่เราจะแสดงความยินดีให้กับตัวเอง อาจเป็นอะไรเล็กๆ น้อยๆ ก็ได้ไม่ใช่หรือ
คำตอบก็คือใช่ ของเล็กๆ ก็สามารถแสดงความยินดีได้ แต่สาเหตุที่หลายคนลงทุนซื้อ “ของแพง” ในการฉลองความสำเร็จนั้นเพราะมันทำให้เรารู้สึกดีกว่ามากๆ ในงานวิจัยหนึ่งจาก Caltech ให้ผู้ทดลอง 2 กลุ่ม ลองกินไวน์ตัวเดียวกันแต่บอกราคาต่างกัน จากนั้นก็สแกน MRI เพื่อดูการทำงานของสมองและมีการสอบถาม ผลพบว่ากลุ่มที่ถูกบอกว่าไวน์นั้น “แพง” มีความสุขและดื่มด่ำกับประสบการณ์มากกว่า
อีกงานวิจัย มีการให้ผู้ทดลอง 2 กลุ่มทานยาแก้ปวด เป็นยาหลอก (Placebo) ทั้งคู่ แต่บอกราคาต่างกัน กลุ่มที่เข้าใจว่ายาเม็ดละ 80 บาท รายงานผลว่ารู้สึกปวดหัวน้อยลงจริงๆ ยาได้ผลดีจริง แต่กลุ่มที่เข้าใจว่ายาเม็ดละ 3-4 บาท รายงานว่าไม่ค่อยหายปวดหัวเท่าไร
จะเห็นได้ว่าการรับรู้ของเรามีผลต่อความรู้สึกจริงๆ ดังนั้นจึงไม่แปลกที่คนจะซื้อสินค้าราคาแพงเพื่อแสดงความยินดีกับตัวเอง เพราะใครๆ ก็อยากรู้สึกดีกับประสบการณ์ดังกล่าวมากกว่า
เพราะความหรูหราคือการลงทุน
อีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้คนนิยมของแบรนด์เนมเป็นเพราะการซื้อของราคาแพงนั้นเป็นการลงทุนอย่างหนึ่ง ยกตัวอย่างเช่น กระเป๋า Birkin มีรายงานออกมาแสดงให้เห็นเลยว่าการลงทุนซื้อกระเป๋า Birkin นั้นคุ้มค่ายิ่งกว่าการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์หรือทองคำเสียอีก
การลงทุนนั้นไม่ได้จำกัดเฉพาะแค่เฉพาะกระเป๋า แต่รวมถึงรถหรู (Luxury Cars) และอสังหาริมทรัพย์อีกด้วย (Real Estate)
วันนี้ Mission To The Moon จะมาแนะนำให้ทุกคนได้รู้จักกับแบรนด์ The ADDRESS โครงการอสังหาริมทรัพย์ที่ขึ้นชื่อว่าเป็น Legendary BRAND จาก AP เพราะการเลือกสรรเฉพาะ ‘ทำเลอันมากมูลค่า’ ในย่านธุรกิจและศูนย์รวมไลฟ์สไตล์ ซึ่งเป็นสุดยอดทำเลที่นอกจากจะทำให้เจ้าของรู้สึกภูมิใจในการครอบครองแล้ว ยังสะดวกต่อการอยู่อาศัยและคุ้มค่าในการลงทุน
ทุกโครงการของ The Address ถือเป็นสินทรัพย์ (Asset) ที่มีมูลค่ามากๆ และเป็นมากกว่าคอนโด ด้วยการการันตีผลตอบแทนด้วยความสำเร็จตลอด 10 กว่าปีที่ผ่านมา ทุกๆ โครงการของ The Address มีมูลค่าสูงขึ้นแบบก้าวกระโดด ซึ่งเราสามารถดูได้จากเปอร์เซ็นต์ของ Capital Gain อาทิ
- โครงการ The Address ชิดลม เปิดตัวในปี 2550 ที่ราคา 105,000 บาทต่อตารางเมตร ปัจจุบันราคาอสังหาริมทรัพย์ในบริเวณนั้นราคาอยู่ที่ 330,000 บาทต่อตารางเมตร จะเห็นได้ว่ามูลค่าเพิ่มขึ้นสูงถึง 314% และ Capital gain คิดเป็น 214%
- โครงการ The Address สุขุมวิท 28 เปิดตัวปี 2552 ที่ราคาเฉลี่ย 140,000 บาทต่อตารางเมตร ปัจจุบันราคาอสังหาริมทรัพย์ในบริเวณนั้นราคาอยู่ที่ 320,000 บาทต่อตารางเมตร เท่ากับว่ามูลค่าเพิ่มขึ้นสูงถึง 229% และ Capital gain คิดเป็น 129%
ในส่วนของโครงการ ‘The Address สยาม-ราชเทวี’ ทาง AP ใช้เวลามากกว่า 8 ปีในการเฟ้นหาพื้นที่ใจกลางเมือง ศึกษาความต้องการของกลุ่มลูกค้า และนำไปต่อยอดในการออกแบบให้สอดคล้องกับความต้องการ จึงกลายมาเป็น The Address สยาม-ราชเทวี คอนโดสุดหรูใจกลางมหานคร ที่ทุกองค์ประกอบได้ออกแบบมาเพื่อประสบการณ์การใช้ชีวิตเหนือระดับ และเปี่ยมไปด้วยคุณภาพที่สมบูรณ์แบบทุกตารางนิ้ว
ในส่วนของการตกแต่งของ The Address สยาม-ราชเทวี นั้นออกแบบมาเพื่อผู้คนที่ชื่นชอบไลฟ์สไตล์แบบ ‘หรูหรา’ โดยเฉพาะ ตัวอาคารผสมผสานความคลาสสิกของงานสถาปัตยกรรมแบบฝรั่งเศสเข้ากับงานประณีตศิลป์แบบไทยๆ ไว้ด้วยกันได้อย่างดี พิถีพิถันตั้งแต่การออกแบบภายในสู่ภายนอก
Best Quality and Finest Materials
นอกจากนี้ยังมีการคัดสรรวัสดุอย่างดีที่สุดจากทั่วโลก ทุกรายละเอียดคัดเลือกมาอย่างละเมียดละไม เช่น การตกแต่ง Façade อาคารด้วยหินอ่อน White Limestone จากโปรตุเกส ซึ่งมีความงดงามอย่างเป็นเฉพาะตัวเมื่อตกกระทบแดด หรือแม้แต่เครื่องออกกำลังกาย ทางโครงการก็เลือกแบรนด์ Kinesis แบรนด์ Technogym คุณภาพจากประเทศอิตาลี
.
ที่พิเศษที่สุดคือ มีการเลือกสรร ตกแต่งเลานจ์ THE SKY CHAMBER ด้วยผ้าบุจากแบรนด์ระดับโลก HERMÈS FURNISHING FABRICS AND WALLPAPERS สะท้อนความไลฟ์สไตล์หรูหราได้อย่างลงตัว
Sophistcaion Design
ในเรื่องของการออกแบบพื้นที่ส่วนกลางและพื้นที่พักผ่อน โครงการใส่ใจตั้งแต่รายละเอียดจากภายนอกไปจนถึงภายใน ในส่วนของพื้นที่พักผ่อน ได้รับแรงบันดาลใจการแบ่งพื้นที่เขตพระราชวัง ตีความใหม่ผ่านการไต่ระดับความหรูหราและความเป็นส่วนตัว มีพื้นที่ชมทัศนียภาพเมืองท่ามกลางความร่มรื่น ซึ่งถูกเนรมิตให้กลายเป็นจุดชมแสงอาทิตย์ในยามเช้าและพระอาทิตย์ตกยามเย็น เพื่อช่วงเวลาที่แสนพิเศษสำหรับทุกคน
Precious Location
ในส่วนของที่ตั้ง The Address สยาม-ราชเทวี ตั้งอยู่บนทำเลมากคุณค่าและมูลค่าใจกลางเมือง บนย่านใจกลางมหานครอย่างสยาม-ราชเทวี คุ้มค่าในด้านการลงทุนเพราะใกล้กับสถานีรถไฟฟ้าราชเทวีเพียง 150 เมตร ซึ่งยังใกล้กับแอร์พอร์ตเรลลิงก์สถานีพญาไทอีกด้วย ในด้านความสะดวกสบาย The Address สยาม-ราชเทวี ไม่เป็นรองใคร เพราะพื้นที่ดังกล่าวตั้งอยู่ศูนย์กลางทางธุรกิจสำคัญ มีย่านช้อปปิ้งไลฟ์สไตล์และสถานศึกษาอันดับต้นของประเทศ อีกทั้งยังเป็นย่านที่มีประวัติศาสตร์สำคัญที่หาไม่ได้แล้ว
.
สำหรับใครที่สนใจก็สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทร 1623 หรือที่ https://bit.ly/3gd389m
