ปัญหา “การว่างงาน” เป็นประเด็นที่ถูกพูดถึงเป็นอย่างมากในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา เพราะวิกฤตเศรษฐกิจ หรือการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ทำให้บางคนต้องเผชิญกับช่วงเวลาที่ต้องหยุดพักการทำงาน ไม่ว่าจะด้วยความจำเป็นหรือความสมัครใจก็ตาม
เมื่อถึงเวลาเริ่มต้นชีวิตการทำงานครั้งใหม่ การมีช่วงเวลาเว้นว่างหรือ ‘Career Break’ อยู่บนเรซูเม่นั้น อาจทำให้เรารู้สึกกังวลใจว่า บริษัทที่เรากำลังสมัครงานอยู่จะตั้งคำถามถึงการหยุดพักงานนั้น แล้วมองว่าเรามีสกิลการทำงานที่ล้าหลัง หรือขาดความทะเยอทะยาน ทำให้หลายคนยอมทนทำงานที่ตัวเองไม่ชอบต่อไป ดีกว่าปล่อยให้เรซูเม่ของตัวเองมีช่องว่างระหว่างการทำงาน
อีกทั้งยังมีงานวิจัยอีกหลายฉบับที่สะท้อนให้เห็นว่า คนที่มี Career Break อยู่ในเรซูเม่ของตัวเองนั้น มีโอกาสถูกเรียกสัมภาษณ์งานน้อยกว่าถึง 45% และได้รับค่าจ้างต่ำกว่าปกติถึง 40% อีกด้วย จากค่านิยมในสังคมที่ให้คุณค่ากับความก้าวหน้าในการทำงานอย่างรวดเร็ว
คำถามคือ การหยุดพักงาน หรือ Career Break นี้มันเป็นปัญหาจริงหรือไม่?
ในปัจจุบันนี้ ชาว Gen Z (อายุระหว่าง 14-26 ปี) ได้เข้ามามีบทบาทในการเปลี่ยนมุมมองการจ้างงานสมัยใหม่ ผลสำรวจของ Applied เผยว่า 47% ของคนทำงานที่อายุไม่เกิน 25 ปี ในสหราชอาณาจักร มีช่วง Career Break เป็นเวลา 6 เดือนหรือมากกว่า และไม่ได้เห็นว่าช่องว่างนั้นเป็นปัญหาหรือเรื่องน่าอายแต่อย่างใด
เพราะโอกาสในการหยุดพักไม่จำเป็นต้องอยู่ในช่วงหลังเรียนจบ หรือ ‘Gap Year’ เท่านั้น แต่คนทำงานก็สามารถมีช่วงเวลาหยุดเพื่อพักผ่อน รักษาสภาพจิตใจ หรือออกไปตามหาเส้นทางการทำงานใหม่ๆ ที่ตัวเองต้องการได้เสมอ
โดยเฉพาะช่วงการแพร่ระบาดของโควิด 19 ที่เปลี่ยนทัศนคติของเราว่าคนที่ต้องออกจากงานหรือลาออกจากงาน ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะนั่งอยู่บ้านเฉยๆ มีหลายคนที่ได้หวนกลับมามองชีวิตของตัวเองใหม่อีกครั้ง ค้นพบโอกาสใหม่ๆ หรือเรียนรู้ทักษะที่ไม่เคยทำมาก่อน จนนำไปสู่การพัฒนาตัวเองในหลากหลายด้าน
รวมถึงสภาวะเศรษฐกิจที่แตกต่างกันในแต่ละยุคสมัย คนรุ่นก่อนอาจก้าวเข้าสู่ตลาดแรงงานได้อย่างทันทีหลังเรียนจบและไม่ต้องการหยุดพักจนกว่าจะถึงเวลาเกษียณ แต่ในทางกลับกัน คนรุ่นใหม่ต้องการที่จะเรียนรู้ถึงการใช้ชีวิตที่แท้จริงของตนเองก่อน จึงจะทำการปักหลักชีวิตการทำงานของตัวเองให้มั่นคง
จากที่ Business Insider ได้พูดคุยกับกลุ่มคนทำงาน Gen Z จำนวนหนึ่ง ก็สามารถยืนยันได้ว่า การมี Career Break ทำให้พวกเขาได้เข้าใจตัวเองมากขึ้นจริงๆ ผ่านการเข้าคอร์สเรียน ร่วมกิจกรรมทางสังคม หรือแม้แต่การท่องเที่ยวเพื่อผ่อนคลายจิตใจจากความเครียด ก็ล้วนช่วยให้พวกเขากลับมาเต็มที่กับการทำงานครั้งใหม่ได้อีกครั้ง
หัวใจหลักของการทำงานสำหรับคน Gen Z จึงเป็นการ ‘ทำงานเพื่อใช้ชีวิต’ ไม่ใช่การ ‘มีชีวิตเพื่อทำงาน’ พวกเขาไม่จำเป็นต้องรีบเร่งที่จะเติบโต หรือยอมทำงานหนักตลอดเวลา แต่เลือกที่จะให้ความสำคัญกับความยืดหยุ่นและความสมดุลในชีวิตมากกว่า
เพราะฉะนั้น การเปลี่ยนมุมมองการจ้างงานที่มีต่อ Career Break จึงเป็นเรื่องสำคัญสำหรับองค์กรยุคใหม่ เพราะไม่ใช่แค่นายจ้างที่มีอำนาจฝ่ายเดียว แต่คนทำงานเองก็มีสิทธิ์ ‘เลือก’ ที่จะทำงานกับองค์กรที่มีความเข้าอกเข้าใจในบทบาทการทำงานของคนรุ่นใหม่เช่นกัน
ภายในปี 2025 สัดส่วนของพนักงาน Gen Z จะเพิ่มขึ้นเป็น 27% ของพนักงานทั้งหมด หากองค์กรมีความเข้าใจเรื่อง Career Break แล้ว จะสามารถช่วยลดจำนวนการ ‘ลาออก’ ได้อีกด้วย โดยเฉพาะ Gen Z ที่มีแนวโน้มจะลาออกหากพวกเขารู้สึกไม่พอใจในที่ทำงาน หรือขาดโอกาสในการพัฒนาตัวเอง
ดังนั้น แทนที่จะตัดสินคนทำงานจากข้อมูลบนกระดาษแค่แผ่นเดียว ลองมองเข้าไปถึง ‘คุณค่า’ ที่พวกเขาได้รับในช่องว่างนั้น ทั้งเป้าหมาย ทักษะ ไปจนถึงประสบการณ์ชีวิต ที่จะช่วยต่อยอดและพัฒนาการทำงานร่วมกันให้ดีขึ้นได้ในระยะยาว
อ้างอิง
Gen Z is rewriting the rulebook on ‘résumé gaps’ : Eve Upton-Clark, Insider : https://bit.ly/3Qbbn6W
#trend
#missiontothemoon
#missiontothemoonmedia