เช้านี้ผมได้อ่านบทความจาก Entrepreneur.com เรื่อง วิธีการตัดสินใจที่ดีขึ้นเพื่อขับเคลื่อนธุรกิจของคุณไปข้างหน้า (How to make better decision to move your business forward) ซึ่งค่อนข้างตรงกับสิ่งที่ผมคิดมาก เลยอยากเอามาเขียนขยายความต่อครับ
เราสามารถแบ่งการตัดสินใจทางธุรกิจหรือ Decision Making ออกได้เป็นแบบใหญ่ๆ สามประเภทด้วยกัน อันได้แก่
- Reactive decision-making (การตัดสินใจเชิงโต้ตอบ)
- Proactive decision-making (การตัดสินใจเชิงรุก)
- Strategic decision-making (การตัดสินใจเชิงกลยุทธ์)
ในช่วงแรกๆ ของการสร้างธุรกิจใหม่ หรือโปรเจคที่นอกเหนือจากความถนัดเดิมมากๆ เรามักจะตัดสินใจโดยการใช้ reactive thinking เพราะมันยากมากในการวางกลยุทธ์หรือวางแผนระบบอะไรซักอย่าง
แต่เราจะปล่อยให้เป็นแบบนั้นต่อไปเรื่อยๆ ไม่ได้ เราต้องรีบพัฒนากระบวนการการตัดสินใจให้ก้าวหน้าเร็วที่สุด เพราะนี่คือส่วนสำคัญมากในการสร้างธุรกิจให้โตได้เร็วครับ
1. Reactive decision-making (การตัดสินใจเชิงโต้ตอบ)
คนที่ทำงานแรกๆทุกคนจะต้องผ่านขั้นตอนนี้ คนทำธุรกิจทุกคนเริ่มต้นการตัดสินใจด้วยวิธีนี้ เพราะในช่วงแรกๆ ของการทำธุรกิจ เรื่องที่ไม่เป็นไปตามแผนการที่คุณวางไว้ก็จะเริ่มถาโถมเข้ามา
เรียกได้ว่าในช่วงแรกๆของการทำธุรกิจ ความรู้สึกจะเหมือนต้องวิ่งไล่ “ดับเพลิง” ที่ไม่รู้จะเกิดขึ้นเมื่อไร หรือตรงไหน อยู่ตลอด คุณกลับบ้านทุกวันอย่างหมดพลัง และสิ่งที่อยากทำที่สุด คือ นอน
การที่คุณต้องตอบสนองกับทุกๆเรื่องรอบตัวคุณ นั่นหมายความว่า คุณใช้เวลาในการตัดสินใจสั้นมากๆ (เพราะเรื่องมันเยอะและด่วนตลอดๆ) คุณไม่เคยรู้สึกว่าเวลาแต่ละวันเพียงพอต่อการทำงานเลยเพราะงานมันท่วมไปหมด และการจัดลำดับความสำคัญของงานก็ทำได้แย่มาก
และอย่างที่บอกไปตอนแรกครับ พอคุณรู้สึกว่าคุณทุ่มพลังงานลงไปเยอะมาก คุณจะเหนื่อยสุดๆ ทั้งร่างกายและจิตใจ แถมบางทีกลายเป็นคนนิสัยไม่ดีเหวี่ยงใส่คนรอบข้างอีกต่างหาก
เมื่อทุกอย่างดูวุ่นวาย ยุ่งเหยิงไปหมด คุณจึงรู้สึกไม่มีพลังเพียงพอกับการจัดการเรื่องสำคัญจริงๆในการทำธุรกิจ
ดังนั้นตราบใดที่คุณยังใช้การตัดสินใจโดยยึดกับสิ่งที่ถูกโยนเข้ามาหาคุณ มันยากที่จะขยายธุรกิจให้ใหญ่ขึ้นได้ เพราะคุณไม่ได้กำลัง “บริหาร” ธุรกิจ แต่จริงๆ แล้วคุณกำลัง “เร่งรีบ” ในการงานชิ้นหนึ่งให้เสร็จเพื่อที่จะได้ “เร่งรีบ” ในการทำงานอีกชิ้นหนึ่ง
ดังนั้น ถ้าอยากโตเราจึงต้องเปลี่ยนจากการตัดสินใจแบบเชิงโต้ตอบที่เต็มไปด้วยความวุ่นวาย ไปเป็นการตัดสินใจเชิงรุก เพราะธุรกิจที่เติบโตจริงๆ ไม่สามารถอยู่บนพื้นฐานของความวุ่นวาย (เพียงอย่างเดียว) ได้ครับ
2. Proactive decision-making (การตัดสินใจเชิงรุก)
คือการย้ายตัวเองจากกระบวนการการตัดสินใจที่ยุ่งเหยิงเข้าสู่กระบวนการนี้ เพื่อให้อย่างน้อยมีเวลาคิดและวางแผนสิ่งที่กำลังจะทำ จะทำให้คุณมีเวลาคิดถึงสิ่งที่คุณต้องการจะทำในอีกอย่างน้อยๆ หนึ่งไตรมาส และไม่ต้องตื่นเช้าแล้วเดินเข้ามาที่ออฟฟิศเพื่อคอยดับเพลิงตลอดทั้งวันอีกต่อไป
คุณจะมีเวลานั่งที่โต๊ะทำงานเพื่อคิด วางแผน และตัดสินใจเรื่องราวต่างๆ ตามความสำคัญ และตามขนาดของผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับธุรกิจของคุณ
เรื่องราววุ่นวายต่างๆ ไม่ใช่ว่าจะหายไป แน่นอนว่ามันยังมีกองไฟให้ต้องดับอยู่เสมอ เพียงแต่คุณไม่ต้องดับมันเองอีกต่อไป คุณจะมีทีมที่มีหน้าที่ทำงานนี้โดยเฉพาะ และพวกเขาจะทำงานนี้ได้อย่างมีระบบ ดีไม่ดีอาจจะ “ดับเพลิง” ได้เก่งกว่าคุณทำเองด้วย
การเข้าสู่ขั้นตอนการตัดสินใจแบบเชิงรุกนั้น ถือเป็นก้าวที่สำคัญของนักธุรกิจทุกคน ซึ่งจริงๆก็ไม่ใช่แค่เฉพาะธุรกิจ แต่รวมถึงการเติบโตในหน้าที่การงานของคุณด้วย เพราะมันหมายความว่าคุณจะได้มีโอกาสในการวางแผนอนาคตให้ธุรกิจคุณ มันยังหมายความว่าพลังของคุณจะถูกใช้ไปในเรื่องที่สำคัญมากๆจริงๆ
ในขั้นตอนนี้คุณจะมีเวลาดูเรื่องกระแสเงินสด การลดค่าใช้จ่าย การวางแผนการใช้งบประมาณอย่างมีประสิทธิภาพ รวมไปถึงการบริหารจัดการทรัพยากรเพื่อให้องค์กรของคุณเดินจากจุดที่ยืนอยู่วันนี้ไปยังเป้าหมายที่วางไว้ด้วย
เมื่อทำธุรกิจคุณต้องพยายามมาถึงการตัดสินใจเชิงรุกให้ได้เร็วที่สุด เพราะเมื่อคุณทำได้ คุณจะเห็นสิ่งที่กำลังจะมาถึง “ก่อน” ที่มันจะมาถึงจริงๆ ซึ่งจะทำให้คุณสามารถบริหารจัดการทรัพยากรเพื่อรองรับเรื่องราวต่างๆ ได้ดีขึ้น และถ้ามีเรื่องร้ายเกิดขึ้น มันก็จะถูกทำให้เบาลงด้วยเพราะคุณสามารถเห็นอะไรชัดกว่าเดิม
และที่น่าแปลกคือ แม้ว่าเวลาการทำงานของคุณอาจจะไม่ได้ทำงานน้อยลง แต่ “พลัง” ของคุณจะไม่หมดเหมือนตอนทำการตัดสินใจเชิงโต้ตอบ
คุณจะกลับบ้านไปพร้อมกับแรงที่ยังเหลือพอที่จะทำอะไรอย่างอื่นได้ และยังมีเวลาเตรียมแผนการสำหรับอนาคตด้วย
ในขั้นตอนการตัดสินใจนี้ คุณเริ่มควบคุมธุรกิจของคุณได้ประมาณหนึ่งแล้ว แต่การเป็น “เจ้าของ” ธุรกิจ คุณต้องสามารถตัดสินใจแบบเชิงกลยุทธ์ให้ได้
3. Strategic decision-making (การตัดสินใจเชิงกลยุทธ์)
การมาถึงจุดนี้ได้ จะเป็นจุดที่ทำให้ธุรกิจสามารถก้าวกระโดดได้จริงๆ เพราะด้วยวิธีการคิดแบบนี้ งานที่คุณทำคือการวางแผนกลยุทธ์ให้องค์กร เป็นปีหรือหลายปีล่วงหน้า
คนที่ทำได้ถึงจุดนี้จะมีเวลา พลังงาน และอิสระจากภาระต่างๆในการทำงานขั้นสูงสุด ในขณะเดียวการผลของการตัดสินใจก็จะส่งผลอย่างมากมายต่อองค์กรเช่นกัน
ในการตัดสินใจขั้นนี้คุณจะมองเห็นภาพขององค์กรของคุณในอีกหลายๆ ปีข้างหน้า มองเห็นภาพธุรกิจ มองเห็นความเปลี่ยนแปลง มองเห็นวงจรการเกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไป
การคิดของคุณจะสุขุม รอบคอบ คุณจะมีเวลาพูดคุยกับผู้รอบรู้จากหลากหลายวงการ คุณจะใช้เวลาปรึกษากับผู้ให้คำปรึกษาเก่งๆ หรือถ้าคุณสนใจเรื่องอะไร คุณจะมีเวลามากพอที่จะศึกษามันอย่างจริงจัง
นอกจากนี้ คุณจะเห็นความเชื่อมโยงของทุกอย่างทั้งในและนอกองค์กรของคุณ โดยเฉพาะในองค์กรของคุณ คุณจะเข้าใจว่าทำไมการมีส่วนร่วมของพนักงานถึงส่งผลต่อกำไรของบริษัทโดยตรง เป็นต้น
ในขั้นตอนนี้คุณจะเห็นผลกระทบของการตัดสินใจของคุณในอนาคต ต่อคนของคุณ องค์กรของคุณ สังคม ประเทศ หรือแม้กระทั่งโลก
คุณจะเข้าใจอย่างถ่องแท้ถึงความหมายที่แท้จริงของงานของคุณ
แต่นักธุรกิจหลายคนจะไม่มาถึงจุดนี้ หากไม่ได้วางแผนดีพอ
ข่าวดีก็คือ การเปลี่ยนจากขั้นนึงมากอีกขั้นนึงไม่ได้เกี่ยวกับทักษะหรือพรสวรรค์มากนัก แต่เกี่ยวกับทัศนคติเสียมากกว่า คุณสามารถพัฒนาในเรื่องนี้อย่างรวดเร็วหากคุณคิดและต้องการพัฒนาเรื่องนี้อยู่ทุกวัน อย่างต่อเนื่อง และมีวินัย
ทัศนคติที่ไม่ว่าคุณ “ยุ่ง” กับการดับเพลิงแค่ไหนก็ตาม คุณจะต้องหาเวลาคิดเพื่อวางแผนอนาคต หาคนทำงานแทนคุณในเรื่องที่คุณไม่ต้องทำเอง เพื่อให้วันหนึ่งคุณจะมีทีมที่บริหารจัดการตัวเองได้ ถึงวันนั้นคุณจะมีเวลาคิดกลยุทธ์เพื่อวางแผนอะไรสักอย่างที่ยิ่งใหญ่ตามสิ่งที่คุณฝันไว้จริงๆ
เหมือนที่โฮดา คอตบ์ Hoda Kotb เคยกล่าวไว้ว่า