Mission To The Moon X HP Inc.
มาตรการ Social Distancing ช่วงโควิด-19 ทำให้แนวคิดเรื่องการทำงานระยะไกล (Remote Work) โดดเด่นขึ้นมา โดยเฉพาะการทำงานจากที่บ้าน หรือ Work From Home แต่การต้องอยู่ในสภาพแวดล้อมเดิมๆ อันจำกัด และการที่เราไม่ได้พบปะแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับผู้คนแบบ Face-To-Face ก็สร้างความรู้สึก Burnout หรือหมดไฟในการทำงานได้ เนื่องจากมนุษย์นั้นไม่ได้สื่อสารกันแต่เพียงคำพูดหรือตัวอักษร แต่ยังมีโทนเสียงและท่าทาง (Body Language) ที่จะถูกแปลโดยสมอง เพื่อให้เข้าใจการสื่อสารนั้น การพูดคุยหรือประชุมแบบไม่เจอหน้ากันจึงมีสิทธิ์ที่จะเข้าใจไม่ตรงกัน
เมื่อสถานการณ์ทั่วโลกมีแนวโน้มดีขึ้น ทำให้วิธีทำงานแบบใหม่ที่เรียกว่า “Hybrid Work” ได้รับความสนใจมากยิ่งขึ้น โดยการทำงานแบบ Hybrid เป็นการทำงานที่ผสมผสานระหว่างการเข้าออฟฟิศบางวัน สลับกับการทำงานที่อื่นๆ เพื่อลดความหนาแน่นของจำนวนพนักงาน แต่ยังมีโอกาสให้พนักงานได้พบเจอกัน เพื่อพูดคุยกระตุ้นความคิดสร้างสรรค์ และทำให้ไม่รู้สึกเหนื่อยล้าเหมือนการ Work From Home ทุกวัน
อย่างไรก็ตามวิธีการทำงานแบบ Hybrid Work ก็มีความท้าทายอย่างยิ่ง โดยเฉพาะกับผู้ประกอบการ หรือเจ้าของธุรกิจ SMEs ในการเตรียมพร้อม และออกแบบวิธีการทำงานให้สอดรับกับพนักงานของตนเอง เพื่อให้ธุรกิจได้เติบโต และนี่คือเรื่องน่ารู้ที่จะช่วยให้ผู้ประกอบการสร้างการเติบโตทางธุรกิจในยุค Hybrid Work ได้อย่างดีที่สุด
การออกแบบการทำงานแบบ Hybrid Work ให้มีประสิทธิภาพ
ผู้ประกอบการธุรกิจ SMEs จะออกแบบการทำงานแบบไฮบริดให้ดี ต้องเริ่มต้นที่ “ทัศนคติ” ของตนเองก่อนเป็นอันดับแรก จากเดิมที่คิดว่า พนักงานที่กระตือรือร้นคือคนที่เข้าออฟฟิศ ต้องเปลี่ยนใหม่และเข้าใจว่า คนที่อยู่บ้านก็กำลังทำงานอยู่เช่นกัน
จากนั้นต้องกำหนดวัตถุประสงค์หรือเป้าหมายของงานให้ทุกคนเข้าใจตรงกัน และเกิดความรู้สึกร่วมจากทุกภาคส่วน เป้าหมายจะต้องเป็น “จิ๊กซอว์” ส่วนบุคคล ที่นำมาเชื่อมต่อทีมแล้วจะเป็นเป้าหมายใหญ่ได้ และจิ๊กซอว์ที่ดีต้องมีขอบคม รู้ว่าจะวางล็อกไหนแล้วลงตัว
สิ่งที่จะทำให้จิ๊กซอว์แต่ละตัวตัดขอบได้คม หรือก็คือการกำหนดขอบเขตงานของตัวเองได้ ต้องใช้ “Data” เพราะข้อมูลจะให้ความชัดเจน โปร่งใส ไม่ต้องตีความอีกต่อไป เมื่อพนักงานทุกคนรู้ขอบเขต ข้อมูลชัด เป้าหมายชัด วิธีการวัดผลชัด ก็จะสร้างงานที่มีประสิทธิภาพได้
นอกจากนี้ เราต้องเปลี่ยนวิธีการทำงานใหม่ด้วย เพื่อให้ทีมเป็นหนึ่งเดียวกัน ลดช่องว่างระหว่างทีมลง ผู้บริหารต้องทำให้วันที่เข้าออฟฟิศ เป็นวันแห่งการสนทนาปฏิสัมพันธ์ และวันที่อยู่บ้านเป็นวันที่เก็บรายละเอียดการทำงาน นั่นหมายถึงการจัดพื้นที่ในออฟฟิศต้องเปลี่ยนไปด้วย เราอาจไม่ต้องการโต๊ะประจำตัว และไม่ต้องมีไซด์บอร์ดคั่นแล้ว เพื่อให้พนักงานได้พบปะพูดคุยกันได้มากที่สุดในเวลาที่อยู่ออฟฟิศ
ทักษะที่คนทำงานควรมี เมื่อเข้าสู่ยุค Hybrid Work
อย่างที่กล่าวไปข้างต้นว่า การทำงานแบบไม่พบเจอกันทำให้คนรู้สึก Burnout ได้ง่ายๆ สาเหตุสำคัญมาจากการไม่มีเส้นแบ่งระหว่างเวลางานกับเวลาส่วนตัว ทักษะที่คนทำงานแบบไฮบริดควรต้องเสริมอย่างแรกคือ “ทักษะการจัดการเวลา” ควบคู่ไปกับทักษะ “Resilience” หรือความยืดหยุ่น ล้มเร็วลุกเร็ว เพราะโลกเปลี่ยนแบบฉับพลันได้ทุกๆ วัน
นอกจากนี้เรายังต้องสามารถ “เชื่อมต่อจุด” หรือ Connecting The Dot นำความสามารถทุกแขนงของตัวเองมาเชื่อมต่อกันได้ เหมือนอย่างนักฟิสิกส์ที่ชื่อ “โรเบิร์ต เจ. แลง” ผู้มีงานอดิเรกคือการพับกระดาษโอริกามิ ที่สามารถนำความรู้เรื่องฟิสิกส์และการพับกระดาษ มาออกแบบการเก็บถุงลมนิรภัยในรถที่เป็นพื้นที่ไม่สมมาตรได้ ด้วยความรู้และการเชื่อมต่อสิ่งที่มีออกมา
และนอกจากทักษะต่างๆ แล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่ผู้ประกอบการและคนทำงานแบบ Hybrid Work ต้องมี ก็คือ “Digital Mindset” หรือแนวคิดการปรับตัวตามโลกดิจิทัล คอยอัปเดตข้อมูลข่าวสาร และเปิดใจเรียนรู้กับเทคโนโลยีต่างๆ อยู่เสมอ เพราะการทำงานในยุคดิจิทัลต้องการเครื่องมือที่ช่วยจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ
โดยสิ่งที่จะมาช่วยเสริมทักษะในยุคนี้ อาจต้องเป็นอุปกรณ์โน้ตบุ๊กประสิทธิภาพสูง อย่างโน้ตบุ๊กธุรกิจ HP ProBook 640 G8 ที่มาพร้อมระบบปฏิบัติการ Windows 10 Pro for business และพร้อมอัปเกรด ด้วยประสิทธิภาพรวมถึงความทนทาน ที่มาพร้อมคุณสมบัติด้านการรักษาความปลอดภัย ทำให้มั่นใจทุกการเชื่อมต่อ การประสานงานร่วมกัน พร้อมใช้งานอย่างคล่องตัวจากที่บ้านและที่ทำงานได้อีกด้วย
อุปกรณ์ไอทีกับการช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานให้องค์กร Hybrid
ไม่ว่าองค์กรนั้นๆ จะมีขนาดเล็ก กลาง หรือใหญ่ ก็ควรต้องลงทุนด้านอุปกรณ์ไอทีสำหรับพนักงาน เพราะ “เวลา” ของพนักงานทุกคนมีราคาแพงกว่าอุปกรณ์ทุกอย่าง ยิ่งการทำงานที่เปลี่ยนสถานที่ไปเรื่อยๆ พนักงานควรต้องทำงานได้อย่างอิสระ ดังนั้น การลงทุนในส่วนนี้จะช่วยสนับสนุนพนักงานและผลักดันเป้าหมายขององค์กรไปพร้อมกัน เพราะทุกอย่างสอดคล้องซึ่งกันและกัน
เราจะเห็นแนวโน้มว่า อีกไม่นานทุกบริษัทจะกลายเป็น Tech Company เพราะตอนนี้ดิจิทัลเป็นตัวขับเคลื่อนใหม่ของโลกนี้ การจะขุดมันสมองของคนออกมาและแปลงออกเป็นเงินทองและความสำเร็จได้ ปัจจัยที่สำคัญอย่างมากก็คือ เครื่องมือ (Tools)
คำถามต่อมาคือ ถ้าเราเป็นบริษัทที่ไม่ได้มีทุนหนา อาจเป็นบริษัทขนาดเล็ก-กลาง เราจะลงทุนกับอุปกรณ์ IT ให้พนักงานอย่างไร จึงจะคุ้มค่าและไม่สูญเปล่า ซึ่งในบางตำแหน่งก็จำเป็นต้องอัปเกรดอุปกรณ์ใหม่ที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้นเรื่อยๆ เพราะฟีเจอร์ใหม่ๆ อาจช่วยเรื่องคุณภาพของงาน อย่างตำแหน่ง Editor หรือคนตัดต่อวิดีโอ เป็นต้น
ทางออกหนึ่งสำหรับธุรกิจ SMEs ที่ต้องการอุปกรณ์ไอทีสำหรับพนักงาน อาจเลือกเป็นวิธีการเช่าซื้ออุปกรณ์บางอย่าง เพื่อช่วยประหยัดค่าใช้จ่าย แต่ยังได้อุปกรณ์ครบถ้วนตามต้องการ อย่างเช่นโปรแกรมเช่าซื้อ-เช่าใช้จาก HP for Business พร้อมแพ็กเกจอินเทอร์เน็ตไม่อั้น ความเร็วสูงสุด 10 Mbps ให้กับการใช้งานแอปพลิเคชัน Zoom และ Microsoft office 365 โดย HP มีผลิตภัณฑ์พร้อมสำหรับทำงาน เป็น bundle แพ็กเกจ ทั้งคอมพิวเตอร์ แล็ปท็อป เครื่องพิมพ์ และมาพร้อมโปรแกรมไมโครซอฟท์ออฟฟิศ ได้อุปกรณ์ไอทีครบครันพร้อมทำงานและยังมีบริการ Onsite service เมื่ออุปกรณ์เกิดปัญหาอีกด้วย
ทำให้ผู้ประกอบการประหยัดต้นทุน และสามารถแบ่งจ่ายเป็นรายเดือนแค่หลักร้อย ไม่ต้องจ่ายเงินก้อนใหญ่ ทำให้มีเงินเก็บไว้ลงทุนรายการอื่นๆ ได้ที่จำเป็น ซึ่งจะตอบโจทย์ความต้องการของธุรกิจขนาดเล็กในการประคับประคองธุรกิจให้อยู่รอดต่อไปได้
เพราะ HP ประเทศไทย ต้องการช่วยผู้ประกอบการ SMEs และสตาร์ตอัปแบ่งเบาภาระต้นทุนอุปกรณ์สำนักงานไอที ด้วยโซลูชันช่วยขับเคลื่อนธุรกิจบนเส้นทางสู่การยืนหยัด สู้ทุกวิกฤต อย่างแข็งแกร่งและเติบโตด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล ที่พร้อมต่อการเปลี่ยนแปลงในเวลาที่ต้องปรับตัวสู่ Hybrid Work นั่นเอง
ความสำคัญของความปลอดภัยในข้อมูลในยุค Hybrid Work
พนักงานที่ทำงานจากที่บ้านนั้นอาจตกเป็นเป้าหมายของแฮกเกอร์มากขึ้น ซึ่งในช่วงการระบาดใหญ่ที่ผ่านมา การโจมตีทางไซเบอร์ทั่วโลกเพิ่มขึ้น 238% โดยเป็นการฟิชชิงและ scam ข้อมูล* การทำงานหรือทำธุรกิจอย่างปลอดภัย ในยุค Hybrid Work จึงเป็นประเด็นสำคัญมากที่บริษัทไม่ควรมองข้าม เพราะการทำงานไม่ว่าจากที่ไหนก็ต้องมีการเชื่อมต่อ ไวไฟ หรืออุปกรณ์เสริมเสมอ
ทางที่ดีผู้ประกอบการก็ควรเลือกโซลูชันด้านไอที ที่มอบความปลอดภัยให้อุปกรณ์ที่ใช้งานด้วย เหมือนอย่างบริการจาก HP ซึ่งได้ปรับปรุง HP SecurePrint ซึ่งเป็นโซลูชันคลาวด์เนทีฟที่ยืดหยุ่นซึ่งเผยแพร่เอกสารให้กับผู้ใช้ที่ได้รับอนุญาตเท่านั้น นอกจากนี้ HP ยังเสนอ Sure Click Pro ฟรีให้กับลูกค้า HP Windows ทุกคน เทคโนโลยี HP Sure Click ป้องกันมัลแวร์ แรนซัมแวร์ และไวรัสที่ฝังอยู่ในไฟล์แนบอีเมลหรือเว็บไซต์ที่เป็นอันตรายอีกด้วย
ข้อดีของ Hybrid Work ที่ทุกองค์กรควรเริ่มปรับตั้งแต่วันนี้
การทำงานแบบไฮบริดจะช่วยลดข้อจำกัดหลายๆ อย่างลง เช่น ในอดีตสถาปนิกเก่งๆ หลายคนต้องไปหน้างานเท่านั้น ถ่ายรูปมาอย่างเดียวไม่ได้ แต่ในอนาคตอันใกล้อุปกรณ์ต่างๆ ที่ทันสมัยจะทำให้สถาปนิกไปเจอกับหัวหน้าช่างได้แม้ไม่ได้ไปลงพื้นที่จริงๆ ไฮบริดและเทคโนโลยีที่เข้ามาจะช่วยเปลี่ยนวิธีการทำงานของเรา คนเป็นวิทยากรสามารถบรรยายสดที่ไหนก็ได้ มาทั้งตัวโดยไม่ต้องไปสถานที่จริง
รวมถึงบทบาทของ AI ด้วยเช่นกัน ทุกวันนี้เริ่มมีการใช้ RPA หรือ Robotic Process Automation มาทำงานแล้ว เช่น งานบางอย่างที่ต้องทำซ้ำๆ ก็ให้หุ่นยนต์ทำได้ ด้วย AI เรียนรู้ได้ไว โดยมีการคาดการณ์ว่าจะเกิดขึ้นกว่า 40% ในบริษัท ทุกๆ อย่างกำลังเปลี่ยนไปแล้ว ผู้ประกอบการ เจ้าของธุรกิจ SMEs จึงต้องปรับตัวให้ทันด้วยทัศนคติต่างๆ หาเครื่องมือที่เหมาะสมกับการทำงานและคนให้ได้
สำหรับธุรกิจที่กำลังปรับตัวและต่อสู้กับปัญหาต่างๆ หรือมองหาทางรอดของธุรกิจ สามารถเลือกใช้ผู้ช่วยในการดูแลให้เช่าซื้อ-เช่าใช้อุปกรณ์ไอที จาก HP for Business ที่มีทั้งความสะดวกสบาย ราคาประหยัด และที่สำคัญคือมีระบบ Security ที่ปลอดภัยในทุกๆ ด้าน ช่วยซัพพอร์ตให้พนักงานทำงานจากทุกที่ได้อย่างสบายใจลองพิจารณาบริการ รวมถึงโน้ตบุ๊ก HP ProBook 640 G8 ที่มาพร้อมระบบปฏิบัติการ Windows 10 Pro for business พร้อมอัปเกรดเพื่อให้คุณก้าวสู่โลกดิจิทัล และสร้างธุรกิจให้เติบโตได้อย่างมั่นใจ
สำหรับโปรแกรมเช่าซื้อ-เช่าใช้จาก HP เพื่อ SME และสตาร์ตอัป ก็สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม โทร 1800-01-4054 หรือ https://www.hp.com/th-th/shop/business-subscription
ข้อมูลอ้างอิง:
*https://threatresearch.ext.hp.com/hp-wolf-security-blurred-lines-blindspots-report-risky-remote-working/