ไม่อยากทำงาน แต่ก็ต้องทำ! ลอง 10 วิธีที่จะทำให้คุณมี “ความสุขในการทำงาน” มากขึ้น

2991
ความสุขในการทำงาน

ถ้าคุณทำงานวันละ 8 ชั่วโมงต่อวัน ก็เท่ากับว่าคุณทำงาน 40 ชั่วโมงต่อสัปดาห์จากเวลาทั้งหมด 168 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ นับได้เลยว่าเวลากว่า 1 ใน 3 ของชีวิตคุณใช้ไปกับการทำงาน! คงจะดีไม่น้อยหากการไปทำงานของเราเป็นเรื่องสนุก ไม่ว่าจะเพราะเนื้องานเอง หรือเพราะเพื่อนร่วมงาน

แต่ไม่ใช่ทุกคนจะมี ‘ความสุข’ ในที่ทำงาน

หลายๆ คนโชคร้ายเพราะงานที่ทำก็ไม่ชอบเท่าไหร่ หัวหน้าก็ใจร้าย แถมเพื่อนร่วมงานดันนิสัยแย่อีก อย่าให้ต้องถึงวันจันทร์เลย แค่วันอาทิตย์กลางคืนเราก็รู้สึกอยากร้องไห้แล้ว!

Advertisements

พอจะมีวิธีไหนบ้างที่ทำให้การไปทำงานเป็นเรื่องสนุกขึ้นมาได้ วันนี้ Mission To The Moon ได้สรุป “10 วิธีที่จะช่วยให้เรามีความสุขในการทำงาน” มาแบ่งปันทุกคน ให้เรานำไปปรับใช้แล้วเปลี่ยนชีวิตการทำงานของเราให้มีสีสันมากขึ้น

แต่ก่อนอื่นเราไปดูกันก่อนดีกว่าว่าการมีความสุขในการทำงานสำคัญอย่างไร

ทำงานอย่างมีความสุขนั้นสำคัญไฉน

อย่างที่บอกไปว่าเราใช้เวลากว่า 1 ใน 3 ของชีวิตไปกับการทำงาน หากช่วงเวลาเหล่านี้มีความสุขก็จะดีกับสุขภาพจิตของเราไม่น้อย ความสุขโดยรวมด้านอื่นๆ ในชีวิตก็จะเพิ่มขึ้นตามด้วย

เท่านั้นยังไม่พอ หากเรามีความสุขในงานที่ทำ มีโอกาสว่าเราจะ ‘ประสบความสำเร็จ’ ในหน้าที่การงานเพิ่มขึ้นด้วย เพราะมีงานวิจัยหลายงานแสดงให้เห็นว่า หากคนเรามีความสุขในการทำอะไรบางอย่าง เราจะเรียนรู้และทำมันได้ดีกว่า ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเรียน การทำงาน หรือการฝึกฝนทักษะต่างๆ

ในแง่ของผลิตภาพ (Productivity) ก็เพิ่มขึ้นเช่นเดียวกัน เพราะเมื่อพนักงานมีความสุข มีแนวโน้มว่าทั้งทีมจะกระตือรือร้นมากกว่า สร้างสรรค์มากกว่า และทำงานได้มากกว่า การศึกษาจาก Saïd Business School แห่งมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ดพบว่า พนักงานที่มีความสุขนั้นทำงานได้มากขึ้นถึง 13% เลยทีเดียว และหากงานของพวกเขาเป็นงานบริการ พลังงานความสุขเหล่านี้จะถูกส่งต่อไปยังลูกค้า ทำให้ลูกค้าประทับใจกับการบริการและมีความพึงพอใจสูงขึ้นตามไปด้วย

เรียกได้ว่าหากพนักงานมีความสุข ทั้งเพื่อนร่วมงาน บริษัท และลูกค้าก็มีความสุขตาม

10 แนวคิดจากผู้เชี่ยวชาญ “จะทำงานอย่างไรให้มีความสุข”

แซ็ก โฮล์มควิสต์ อดีตผู้ก่อตั้งและหัวหน้าฝ่ายประสบการณ์การทำงานแห่ง Teem บริษัทซอฟต์แวร์ของ WeWork บอกว่า “การทำงานย่อมก่อให้เกิดความเครียด แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเราจะมีความสุขไม่ได้ มันฟังดูเป็นเรื่องยากก็จริง แต่ความสุขของทั้งหัวหน้าและลูกน้องนั้นสำคัญอย่างยิ่ง ในการป้องกันการเบิร์นเอาท์ เพิ่มความสร้างสรรค์ และเพิ่มผลิตภาพการทำงาน เราต้องมั่นใจว่าเรากำลังทำงานในสภาพแวดล้อมที่เราเติบโตได้”

ทีนี้มาดูกันดีกว่าว่า แซ็ก โฮล์มควิสต์ และคนอื่นๆ จะมีแนวคิดอย่างไรบ้างที่ช่วยให้การทำงานของพวกเขามีความสุขขึ้น

1) โฟกัสเรื่องการพัฒนาความสามารถ

การจะมีความสุขในที่ทำงานนั้นขึ้นอยู่กับว่า เรามองงานที่ทำและคนที่เราทำงานด้วยอย่างไร ไม่ต่างจากประสบการณ์อื่นๆ ในชีวิตเลย หากเราโฟกัสเรื่องการพัฒนาความสามารถ เราก็จะมีความสุขได้ทุกครั้งเมื่อได้ ‘เรียนรู้’ และได้ ‘เติบโต’ ในที่ทำงาน ความสำเร็จเล็กๆ น้อยๆ ที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาตนเอง ไม่ว่าจะเป็นการทำงานเสร็จตรงเวลา ได้รับคำชมจากหัวหน้า ได้พัฒนาทักษะ ได้ลงเรียนคอร์สต่างๆ หรือการได้เลื่อนขั้น สิ่งเหล่านี้จะทำให้เรามีความสุขขึ้นได้ หากเราโฟกัสกับมัน

2) ตามหาว่าอะไรคือ ‘แรงบันดาลใจ’ สำหรับเรา

หลายๆ คนไม่มีความสุขในที่ทำงานเพราะไม่รู้สึกถึงแรงบันดาลใจนั่นเอง เราไม่รู้ว่างานของเรามี ‘ความหมาย’ อย่างไร หรือ ‘ความสัมพันธ์’ ระหว่างเรากับทีมมีค่าบ้างไหม หากมีเวลาเราอาจลองนั่งพิจารณาดูว่า นิยามความสุขและความสำเร็จของเราคืออะไร และเราจะเชื่อมโยงมันกับงานที่เราทำได้ไหม 

อาจฟังดูอุดมคติมากๆ แค่ตามหาความหมายก็มีความสุขได้แล้วงั้นหรือ งานวิจัยของอดัม แกรนท์ ศาสตราจารย์และนักเขียนชื่อดังพบว่า หากเราตระหนักรู้ว่างานของเรามีความหมาย เรามักจะมีความสุขมากขึ้นและทำงานได้มีประสิทธิภาพกว่าเดิม ในขณะเดียวกัน ยิ่งเรารู้สึกว่า ‘ทำไปก็ไม่มีความหมาย’ เรายิ่งไม่มีแรงบันดาลใจในการทำงาน

3) ตามหาว่าอะไร ‘ดูดพลัง’ เราไป!

บางทีเราอาจไม่ได้เกลียดงานที่ทำทั้งหมด เราอาจแค่ไม่ชอบ ‘บางขั้นตอน’ เท่านั้น!

ซาราห์ กรีนเบิร์ก นักจิตบำบัดและโค้ชแห่ง BetterUp บริษัทที่ปรึกษาด้านการพัฒนาตนเองชื่อดัง แนะนำว่า ใช้เวลาสัก 3 วัน ในการลองเขียนงานที่ต้องทำอย่างละเอียด ไม่ว่าจะงานเล็ก งานใหญ่ การประชุม หรือการพูดคุยกับคน เขียนลงไปให้หมด จากนั้นก็ให้คะแนนว่า งานไหนทำแล้วรู้สึกดี งานไหนที่ทำแล้วสูบพลัง 

ใช้เวลา 3 วัน ในการจดอย่างละเอียด จากนั้นมาวิเคราะห์ตารางคะแนนของเราดูว่า เราพอจะเปลี่ยนวิธีการทำงานที่สูบพลังได้ไหม จะทำอย่างไรให้เราเหนื่อยน้อยลง หรือว่าทำงานนั้นน้อยลง (อย่างเช่น ทำงานกับเพื่อน A แล้วไม่มีความสุขเลย เราอาจลองคุยกับหัวหน้าทีมว่าขอทำงานร่วมกับเพื่อนร่วมงานคนนั้นน้อยลงได้ไหม) ส่วนงานที่เราทำแล้วรู้สึกดี มีวิธีไหนที่เราพอจะทำสิ่งนั้นได้มากขึ้นบ้าง

Advertisements

4) พักสักนิดจิตแจ่มใส

บางครั้งงานยุ่งจนลืมพักก็เป็นตัวการที่ทำให้เราไม่มีความสุขได้ ลองจัดตารางหาเวลาพักให้ตัวเองสัก 10-15 นาที เราอาจจะแอบหลบไปนั่งสมาธิ เดินเล่น ฟังเพลง และยืดเส้นยืดสายอยู่คนเดียว การมีเวลาให้ ‘ตัวเอง’ นี่แหละ จะช่วยให้เรารู้สึกมั่นคงมากขึ้นและเครียดน้อยลง

5) สมุดบันทึก ‘ความสำเร็จ’

ทุกคนล้วนเคยสงสัยในตัวเองกันทั้งนั้น เราเก่งจริงหรือเปล่า งานที่ทำนี้พัฒนาทักษะเราจริงไหม หรือถ้าย้ายไปทำงานอื่น เราจะได้พัฒนาตัวเองมากขึ้นไหม คำถามนับร้อยผุดขึ้นมาในหัวเมื่อเราเริ่มไม่มีความสุขกับการทำงาน

อย่าปล่อยให้อารมณ์พาเราด่วนตัดสินใจหรือสงสัยในความสามารถของตัวเอง! ลองหาสมุดสักเล่มมาจดบันทึกสิ่งดีๆ เพื่อยึดเหนี่ยวจิตใจดู ไม่ว่าจะเป็นความสำเร็จในหน้าที่การงาน คำชมจากหัวหน้า คำขอบคุณจากเพื่อนร่วมงาน หรือช่วงเวลาที่เรารู้สึกว่าเราทำงานได้ดี

หากวันไหนท้อใจเราจะได้เปิดอ่านสมุดเล่มนั้นดู เพื่อย้ำเตือนตัวเองบ่อยๆ ว่าเราก็เจ๋งไม่แพ้ใคร

6) เตือนสติตัวเองว่า ‘ทำไม’ ถึงเลือกทำงานนี้ตั้งแต่แรก

ตอนก่อนเริ่มงาน เราล้วนมีเหตุผลในการเลือกทำงานที่ทำอยู่ทั้งนั้น แต่เมื่อทำงานไปสักพักและต้องเจอกองงานอันมหาศาล เราอาจเครียดจนลืมเป้าหมายว่าจริงๆ เราทำงานเพื่ออะไร

7) มีระเบียบวินัยต่อการพักผ่อนและดูแลตัวเองด้วย!

มนุษย์บ้างานหลายๆ คนมักจะทุ่มเทเต็มที่ เข้างานตรงเวลาและอยู่ยันดึกดื่นเพื่อทำงานให้เสร็จ เอางานเป็นเรื่องหลักและการดูแลตัวเองเป็นเรื่องรอง ทั้งๆ ที่จริงแล้วเราควรดูแลทั้งสองอย่างให้สมดุลกัน

พลังงานของเราก็เหมือนกับน้ำในแก้ว หากน้ำในแก้วเหลือน้อยเราก็ไม่สามารถดับกระหายให้ใครได้ ดังนั้นเราควรดูแลตัวเอง นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ดื่มน้ำบ่อยๆ ทานอาหารให้ครบ 5 หมู่และออกกำลังกายเป็นประจำ เพื่อรักษาระดับพลังงาน ความสามารถและความสุขในการทำงานของเราให้เต็มหลอดอยู่เสมอ

ถ้าเราไม่พักผ่อน เราจะเอาแรงที่ไหนไปทำงานจริงไหม?

8) อย่าพร้อมตอบเรื่องงานตลอด 24 ชั่วโมงแบบไม่มีวันหยุด

เลิกได้เลิก! นิสัยตอบแชตงานในวันหยุด หากถึงเวลาพักเราควรพักจริงๆ ราวกับปิดสวิตช์สมองสำหรับทำงานไปเลย ที่สำคัญองค์กรที่ดีไม่ควรทำให้พนักงานรู้สึกว่าต้อง Always-on หรือสแตนด์บายพร้อมตอบอยู่ตลอดเวลา เพราะความลับของการสร้างผลงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นคือ ‘ความสุข’ ของพนักงาน ไม่ใช่ ‘จำนวนชั่วโมง’ ที่ทำงานไป

9) สร้างความสัมพันธ์จริงๆ ในที่ทำงาน

งานวิจัยพบว่าการมีมิตรภาพที่ดีในที่ทำงานนั้นสำคัญต่อความสุขในระยะยาวของชีวิตอย่างมาก! อย่างที่กล่าวไปข้างต้นว่าเราใช้เวลากว่า 1 ใน 3 ของชีวิตในที่ทำงานเลย ดังนั้นการมีมิตรภาพที่ดีไว้คอยให้คำปรึกษา บ่น เล่นมุกตลก ให้กำลังใจ หรือพากันไปสังสรรค์หลังเลิกงานก็ช่วยให้ชีวิตในที่ทำงานของเราดีขึ้นไม่น้อย

ส่วนใครที่เจอเพื่อนร่วมงาน Toxic ให้อยู่ห่างจากพวกเขาไว้ เพราะบางทีการมองโลกในแง่ลบและการบ่นตลอดวันจากคนเหล่านี้นี่แหละ ที่คอยกลืนกินความสุขในการทำงานของเรา 

10) คุยกับเจ้านายบ่อยๆ

ในขณะที่เราก้มหน้าทำแต่หน้าที่ของเราในแต่ละวัน หัวหน้าหรือเจ้านายมักจะเป็นคนที่มองเห็นภาพใหญ่ หากเรารู้สึกหมดไฟ การคุยกับคนเหล่านี้จะช่วยให้เรามองเห็นเป้าหมายชัดเจนอีกครั้ง (ทั้งขององค์กรและของเราเอง) ที่สำคัญเราอาจได้เรียนรู้อย่างอื่นเพิ่มเติม เช่น มุมมองใหม่ๆ จากคนที่มีประสบการณ์มากกว่า หรือผลดีจากการทำงานของเราที่ตัวเราอาจไม่เคยทราบ

ถ้าเลือกได้ หลายๆ คนคงอยากจะใช้ชีวิตที่ไม่ต้องทำงานและมีความสุขกับชีวิตในแบบของตัวเอง แต่เราไม่สามารถเลือกเดินหนีจากสังคมทุนนิยมได้ทันทีทันใดขนาดนั้น หากตัวเลือกของเรามีไม่มากและยังต้องทำงาน 9 โมงเช้า – 5 โมงเย็น ทุกจันทร์ – ศุกร์ มาลองตั้งใจทำชีวิตการทำงานของตัวเองให้มี ‘ความสุข’ มากขึ้นก็ไม่ใช่เรื่องเสียหาย บางทีด้านอื่นๆ ในชีวิตเราอาจมีความสุขตามขึ้นมาด้วยก็ได้นะ

อ้างอิง
https://bit.ly/3krJjxk
https://bit.ly/3qrVIWb

#missiontothemoon
#missiontothemoonpodcast
#softskill

ติดตามความเคลื่อนไหวและเนื้อหาน่าสนใจอื่นๆ ได้ที่ https://missiontothemoon.co/

Advertisements