เมื่อพูดถึงเรื่องการลงทุน โดยเฉพาะการลงทุนในตลาดสินทรัพย์ดิจิทัล ก็ต้องบอกว่าสิ่งที่นักลงทุนทุกคนไม่ควรมองข้าม คือ “การบริหารความเสี่ยง (Risk Management)” เพราะโดยส่วนมากการลงทุนที่มีผลตอบแทนสูงย่อมต้องแลกมาด้วยความเสี่ยงที่มากเช่นเดียวกัน
โดยสถิติจาก Natixis Investment Managers เปิดเผยว่า การลงทุนที่มีความเสี่ยงต่ำและได้ผลตอบแทนที่น้อยกว่ามักจะได้รับความสนใจและสามารถอยู่รอดในตลาดได้มากกว่าการลงทุนที่มีความเสี่ยงสูงและผลตอบแทนสูง
และตัวอย่างของการลงทุนที่มีความเสี่ยงสูงที่สุดอย่างหนึ่งก็คือ “Cryptocurrency” หรือ “สกุลเงินดิจิทัล” เนื่องจากมีความผันผวนของราคาที่รุนแรง อีกทั้งยังเป็นเทคโนโลยีที่มีความสดใหม่และคนส่วนใหญ่ยังไม่สามารถเข้าใจตลาดนี้ได้อย่างลึกซึ้ง
อย่างไรก็ตาม แม้การลงทุนในคริปโทฯ จะมีความเสี่ยงสูง แต่หากเรารู้จักวางแผนและบริหารจัดการความเสี่ยงก็จะสามารถป้องกันการสูญเสียเงินจำนวนมากจากตลาดสกุลเงินดิจิทัลได้
โดยเทคนิคกระจายความเสี่ยงนั้นมีหลากหลาย แถมยังมีประโยชน์หลายอย่าง เพราะนอกจากจะสามารถช่วยลดความเสี่ยงในการลงทุนแล้ว ยังอาจสร้างผลตอบแทนที่สม่ำเสมอ และหากใช้อย่างชำนาญก็สามารถเพิ่มโอกาสในการทำกำไรได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย
มารู้จัก 4 วิธีบริหารความเสี่ยง เพื่อให้ลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลอย่างยั่งยืนและปลอดภัยไปพร้อมๆ กัน
1. การกระจายความเสี่ยง โดยการซื้อเหรียญที่หลากหลาย (Diversification)
การกระจายเงินลงทุนไปยังเหรียญที่หลากหลายมากขึ้นเป็นสิ่งที่นักลงทุนส่วนใหญ่นิยมทำกัน เนื่องจากสกุลเงินดิจิทัลเป็นสินทรัพย์ที่ผันผวนและมีความไม่แน่นอน ซึ่งอาจทำให้เราสูญเสียเงินทุนทั้งหมดได้หากลงทุนไปในเหรียญชนิดเดียว
การกระจายเงินทุนไปยังเหรียญประเภทอื่นๆ สามารถช่วยกระจายความเสี่ยงที่อาจจะขึ้นจากเหรียญใดเหรียญหนึ่งได้ โดยเปอร์เซ็นต์การแบ่งเงินทุนไปยังเหรียญต่างๆ ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นโปรเจกต์ ระบบการทำงานของเครือข่าย รวมถึงผลตอบแทนที่จะได้จากการถือเหรียญแต่ละเหรียญ
ในตลาดสกุลเงินดิจิทัลมีเหรียญหลากหลายประเภทที่เราสามารถเลือกลงทุนได้ เช่น AI coin, Meme coin, Stable coin, Metaverse coin และ Layer-2 coin โดยแต่ละเหรียญจะมีหน้าที่และศักยภาพที่แตกต่างกัน ซึ่งเราก็สามารถแบ่งเปอร์เซ็นต์ของพอร์ตจากเหรียญต่างๆ ตามความเสี่ยงที่รับไหวได้
2. วางแผนกลยุทธ์การออกตลาด (Exit Strategy)
กลยุทธ์การออกตลาด (Exit strategy) เป็นกลยุทธ์สำคัญที่นักลงทุนหลายคนใช้ในสถานการณ์ที่เกิดข้อผิดพลาดในการลงทุนจากแผนที่วางไว้ วิธีนี้สามารถใช้เพื่อป้องกันการสูญเสียเงินจำนวนมากได้ โดยการเริ่มทยอยเก็บเงินลงทุนกลับเข้ากระเป๋าตนเองหากมีข้อผิดพลาดประการใดที่เกิดขึ้นในแผนการลงทุน
บางทีการที่เราต้องขายเหรียญที่หมดศักยภาพทิ้ง (Cut loss) อาจเป็นเรื่องยากที่จะทำใจ แต่การลงทุนและทำตามแผนที่วางไว้ก่อนที่จะเริ่มลงทุนเป็นสิ่งที่สำคัญมาก เพราะเราจะสามารถหลีกเลี่ยงการลงทุนตามความรู้สึกตัวเองได้
แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า นักลงทุนบางส่วนมักโดนตลาดครอบงำสภาพจิตใจและหลีกเลี่ยงที่จะทำตามแผน ส่งผลให้สูญเสียเงินทั้งหมด ดังนั้นการ Cut loss จึงเป็นอีกหนึ่งวิธีที่ดี เพราะเป็นเพียงการยอมสละเงินส่วนน้อยเพื่อรักษาเงินส่วนมากไว้ และเป็นการสร้างวินัยที่ดีให้กับตัวเอง นอกจากนี้เรายังสามารถเก็บเงินส่วนที่เหลือมาวางแผนและลงทุนใหม่กับเหรียญที่มีศักยภาพมากกว่าได้อีกด้วย
สัญญาณอะไรบ้างที่เราต้องคอยเฝ้าระวังและเริ่มมองหากลยุทธ์การออกตลาด?
[ ] Volume ซื้อขายที่ลดลงสามารถบอกเป็นนัยๆ ได้ว่าเหรียญที่เราลงทุนอยู่นั้นอาจจะไม่ได้รับความสนใจจากนักลงทุนส่วนใหญ่ในตลาดอีกต่อไปแล้ว
[ ] ราคาเหรียญเริ่มลดลงเรื่อยๆ จนผิดสังเกตซึ่งอาจจะเกิดจากข่าวร้ายหรือโปรเจกต์ที่เริ่มเป็นที่สนใจน้อยลง
[ ] การเกิดขึ้นของโปรเจกต์ใหม่ๆ ที่มีวัตถุประสงค์คล้ายกับโปรเจกต์ที่เราลงทุนอยู่ โดยเราจำเป็นต้องพิจารณาเปรียบเทียบระหว่างโปรเจกต์ใหม่กับโปรเจกต์ที่เราลงทุนอยู่ก่อนแล้ว หากโปรเจกต์ใหม่มีศักยภาพมากกว่า การพิจารณายุติการลงทุนในโปรเจกต์เดิมก็อาจจะเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า
3. แนวคิดการวิเคราะห์ตลาดและวางแผนด้วยปัจจัยทางเทคนิค (Technical Analysis)
การวิเคราะห์ปัจจัยทางเทคนิคจะช่วยให้เราวางแผนการลงทุนล่วงหน้าได้ชัดเจนขึ้น ผ่านการใช้เครื่องมือและอินดิเคเตอร์ต่างๆ เพื่อดูแนวโน้มของตลาด โดยหากเรามีแผนการลงทุนที่ชัดเจนแล้ว ก็จะช่วยให้เข้าลงทุนได้อย่างเหมาะสมตามความเสี่ยงที่ยอมรับได้
การวิเคราะห์จุดเข้าซื้อที่เหมาะสมนั้นสามารถช่วยให้เราซื้อเหรียญในราคาที่คุ้มค่ามากขึ้น โดยอาศัยความใจเย็นและรอให้ราคามาถึงจุดเข้าซื้อตามราคาที่วางแผนเอาไว้ โดยเราสามารถใช้เครื่องมือในการคาดเดาแนวโน้มของตลาดเพื่อเพิ่มความมั่นใจในการซื้อเหรียญในราคาที่ดีที่สุดได้
ตัวอย่างเครื่องมือที่นักลงทุนส่วนใหญ่นิยมใช้ในการวิเคราะห์ตลาด
[ ] แนวรับแนวต้าน (Support and Resistance)
[ ] อินดิเคเตอร์ (RSI, MACD, EMA)
[ ] อีเลียตเวฟ (Eliot wave)
[ ] เส้นเทรนด์ (Trend line)
เครื่องมือเหล่านี้เป็นหนึ่งในตัวช่วยในการตัดสินใจเรื่องจุดเข้าซื้อเท่านั้น สุดท้ายแล้วเราก็ต้องคำนึงถึงจำนวนเงินที่ใช้ในการลงทุนตามความเสี่ยงที่รับไหวด้วย
4. การลงทุนแบบถัวเฉลี่ยต้นทุน (Dollar Cost Averaging)
การลงทุนแบบถัวเฉลี่ยต้นทุนหรือที่คนไทยรู้จักกันในนาม “DCA” คือการลงทุนด้วยปริมาณเงินคงที่ในระยะเวลาที่กำหนด เช่น ลงเงินทุน 100 บาท ทุกๆ สองสัปดาห์ ซึ่งวิธีนี้เป็นวิธีกระจายความเสี่ยงที่นิยมใช้อย่างแพร่หลายเนื่องจาก..
[ ] เป็นการแบ่งเงินลงทุนตามระยะเวลาที่กำหนด ซึ่งสามารถหลีกเลี่ยงการสูญเสียเงินจำนวนมากจากการลงทุนด้วยเงินทั้งหมดในครั้งเดียวหากมีข่าวร้ายที่ส่งผลให้ตลาดเข้าสู่ขาลง
[ ] สร้างวินัยในการลงทุน เพราะหากเราเลือกแบ่งเงินในการลงทุนโดยไม่มีการวิเคราะห์แนวโน้มของตลาด วิธีนี้ก็สามารถช่วยให้เราหลีกเลี่ยงสภาพจิตใจที่ย่ำแย่ในช่วงขาลงของตลาดได้
[ ] ลดความเสี่ยงในการซื้อเหรียญต่างๆ ในราคาที่อาจจะแพงเกินไปหรือที่คนไทยรู้จักกันในนาม “ติดดอย” เนื่องจากการ DCA เป็นการเฉลี่ยซื้อเหรียญด้วยราคาที่เฉลี่ยตามช่วงเวลาที่เรากำหนด
“สกุลเงินดิจิทัล” ถือเป็นสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูง นักลงทุนทุกคนควรศึกษาวางแผนและบริหารความเสี่ยงให้แน่ใจก่อนลงทุน โดยควรคำนึงถึงจำนวนเงินทุนที่นำไปซื้อเหรียญที่หลากหลายเพื่อกระจายความเสี่ยง ศึกษาระบบการทำงานและศักยภาพของเหรียญแต่ละชนิดเพื่อวางแผนกลยุทธ์การเข้าและออกตลาด ลงทุนแบบถัวเฉลี่ยต้นทุน หรือศึกษาแนวโน้มของตลาดด้วยการวิเคราะห์ปัจจัยทางเทคนิค เพื่อป้องกันการสูญเสียเงินในตลาดที่มีความผันผวนสูงอย่างตลาดสกุลเงินดิจิทัล
Mission To The Moon x Bitkub
ขอบคุณข้อมูลจาก Bitkub
#trend
#missiontothemoonxbitkub
#missiontothemoonpodcast