“ศรีจันทร์” ร้านขายยาเล็กๆ กับการก้าวสู่บริษัทที่ขับเคลื่อนด้วย IT Solutions เต็มรูปแบบ

1147

ผลิตภัณฑ์ศรีจันทร์คอลเลกชันใหม่ ที่เพิ่งเปิดตัวไม่นานนั้นได้รับผลตอบรับที่ดีไม่น้อย ตั้งแต่แป้งพัฟ รองพื้น จนถึงคอลซีลเลอร์ ถือเป็นไลน์สินค้าใหม่ที่เป็นก้าวต่อจากแป้งฝุ่นซึ่งเป็นสินค้าตัวดังของศรีจันทร์เมื่อมองย้อนกลับไปก็ทำให้ผมนึกถึงก้าวแรกของตัวเองในฐานะคนที่ต้องเข้ามาพลิกฟื้นแบรนด์เก่าแก่ให้กลับมามีชีวิตในยุคสมัยที่อุตสาหกรรมเครื่องสำอางมีการแข่งขันกันสูงอย่างปัจจุบันนี้

แน่นอนว่า หลายๆ คนอาจเคยได้ยินเรื่องราวและแนวคิดการพลิกมุมมองเรื่องการสร้างแบรนด์ศรีจันทร์กันมาบ้าง แต่ยังมีอีกหนึ่งสิ่งสำคัญที่ทำให้ศรีจันทร์ก้าวเดินมาถึงวันนี้ ก็คือ การเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานด้วยเทคโนโลยีในที่ทำงาน และวันนี้ผมจะมาเล่าให้ฟังกันครับ ว่าศรีจันทร์ปรับเปลี่ยนเรื่องเทคโนโลยีอย่างไร

ก้าวแรกจากร้านขายยาหนึ่งคูหาเล็กๆ

กว่าจะเป็นบริษัทที่เติบโต มีพนักงานและระบบ Operation อย่างในทุกวันนี้ผงหอมศรีจันทร์เคยเป็นร้านขายยาคูหาเล็กๆ ก่อนจะเริ่มผลิตเครื่องสำอางสูตรสมุนไพรจีน ธุรกิจในครัวเรือนที่เป็นเพียงโรงงานขนาดไม่ใหญ่โต จึงไม่ได้มีกำลังผลิตมากนัก ประกบกับการวางขายก็มีขายเฉพาะที่ จึงกลายเป็นสินค้าเฉพาะกลุ่มไปโดยปริยาย

Advertisements

และด้วยความที่แบรนด์ผงหอมศรีจันทร์เป็นกิจการของครอบครัวที่ดำเนินธุรกิจมากว่า 70 ปี ดังนั้น จึงไม่มีระบบ IT และคอมพิวเตอร์ที่ใช้ในการทำงาน ทุกอย่างถูกจัดการตามกำลังคนเกือบ 100% เมื่อผมได้เข้ามาบริหาร สิ่งแรกที่ลงมือทำทันทีก็คือ การซื้อคอมพิวเตอร์เพื่อนำมาจัดการเรื่องข้อมูลต่างๆ ทั้งระบบเอกสาร ทำบัญชีโกดัง สต๊อกสินค้า และลงทุนในเรื่องซอฟต์แวร์ต่างๆ เพื่อนำข้อมูลที่มีแบบกระดาษขึ้นสู่ระบบ และอีกมากมาย ตลอดระยะเวลา 2 ปีแรก คือการใช้ไปกับการจัดระบบองค์กรใหม่ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานให้ได้มากที่สุด

ก้าวสำคัญกับการพลิกธุรกิจด้วยระบบ IT Solutions

แน่นอนว่าการเป็นผู้เล่นในอุตสาหกรรมเครื่องสำอาง ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ในขณะที่จำนวนพนักงานมีไม่มากนัก ผมจึงต้องหาวิธีที่จะช่วยลดงานที่ไม่จำเป็น เพื่อให้พนักงานทุกตำแหน่งได้ทำหน้าที่ของตัวเองอย่างเต็มประสิทธิภาพ ด้วยการใช้ IT Solutions เข้ามาจัดการระบบต่างๆ แทน เพื่อช่วยให้การทำงานรวดเร็ว และแม่นยำมากขึ้น โดยการเปลี่ยนแปลงตั้งแต่ Infrastructure ไปจนถึงระบบ Data ลองมาดูกันว่ามีอะไรบ้าง

1) แก้ไข Infrastructure ด้วยการใช้ Local cloud service
อันดับแรกคือการย้าย SAP Server จากที่มีเป็นของตัวเอง ไปใช้ Local Cloud Service แทน ซึ่งมาจากแนวคิดที่ว่า เราต้องการแก้ไข Infrastructure ของตัวเอง เพื่อเพิ่มโฟกัสในการดำเนินธุรกิจ จึงพยายามนำงานที่ไม่ใช่หน้าที่หลักไปไว้ Cloud

สิ่งที่ตามมาก็คือ เราสามารถลดภาระการดูแลและซ่อมแซมของระบบได้ และยังเพิ่มศักยภาพการทำงานของคนภายในองค์กร ให้สามารถทำงานจากนอกสถานที่ได้ ผ่านระบบ Remote Access นอกจากนี้ ยังทำการเก็บข้อมูลภายในส่วนกลางผ่าน NAS เพื่อให้ทุกฝ่ายเข้าถึงข้อมูลได้อย่างรวดเร็วด้วย

2) ใช้ Office 365 เพื่อการทำงานอย่างมืออาชีพ
พอวาง Infrastructure ได้ดีแล้ว จึงพยายามพัฒนาระบบงานภายในไปพร้อมๆ กัน โดยที่ศรีจันทร์มีการใช้ Office 365 ในการทำงาน พนักงานทุกคนจะได้ใช้ระบบปฏิบัติการ Windows & Office รวมถึงเครื่องมืออื่นๆ เช่น MS Teams หรือ MS Planner ในการทำงานและสื่อสารกัน

Advertisements

3) สะดวกรวดเร็วด้วยระบบคลัง Rubix
ในส่วนของการพัฒนาระบบภายใน ยังมีเรื่องของการนำระบบคลัง Rubix มาใช้งาน และมีแผนที่จะพัฒนา Mobile Application และ CRM เพื่อนำมาเสริมการทำงานให้คนในองค์กรด้วย

4) ระบบ E-Commerce เพื่อการบริการแบบมืออาชีพ
เมื่อนำระบบ IT ต่างๆ เข้ามาใช้ พบว่าช่วยให้การทำงานดีขึ้น ซึ่งไม่ใช่แค่ภายในองค์กรแต่รวมถึงการบริการแก่ลูกค้าด้วย อย่างระบบ E-Commerce ที่เข้ามาช่วยดูแลเรื่องการซื้อขาย จ่ายเงิน แพ็กกิ้ง จัดส่ง และเก็บ Stat ข้อมูลต่างๆ

5) เก็บข้อมูลอย่างเป็นระบบด้วย Data Warehouse
อย่างที่เราทราบกันดีว่าโลกในตอนนี้ได้ขับเคลื่อนด้วย Data ของผู้บริโภคอย่างแท้จริง ข้อมูลจึงถือเป็นหัวใจสำคัญของธุรกิจ ศรีจันทร์จึงมีการพัฒนา Data Warehouse เพื่อรวมข้อมูลจากทุกช่องทางมาอยู่ในที่เดียวกัน และในอนาคตก็มีการวางแผนในการนำ Machine Learning มาใช้ในการสร้าง forecast ต่างๆ ซึ่งจำเป็นมากในอนาคตอันใกล้นี้อย่างแน่นอน

ระบบต่างๆ เหล่านี้ไม่จำเป็นต้องมีพนักงานประจำมาคอยดูแล แต่เป็นการหาบริษัทที่เก่งและเชี่ยวชาญในด้านต่างๆ มาช่วยแทน ทำให้ศรีจันทร์ทำธุรกิจแบบ Lean ได้ ช่วยลดต้นทุน มีความคล่องตัวและยืดหยุ่นสูง ในขณะเดียวกันก็สามารถเพิ่มความพึงพอใจของลูกค้า และเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานได้ดีด้วย

ก้าวต่อไปในฐานะบริษัท High Performing

จนถึงวันนี้ ผมพูดได้เลยว่า ศรีจันทร์ก้าวจาก Low Performing สู่ High Performing ได้ ก็เพราะการปรับเปลี่ยนวิธีการทำงานใหม่ หนึ่งคือการให้ความสำคัญกับระบบ IT สองคือการหาพาร์ทเนอร์เก่งๆ มารับหน้าที่ดูแลระบบนั้นๆ ซึ่งต่อไปธุรกิจทุกขนาดอาจจะต้องปรับมาเป็นระบบนี้กันเกือบก็หมด และยิ่งเป็นบริษัทที่ให้บริการแบบ One Stop Service จะดีที่สุด เพราะลดขั้นตอนการติดต่อ เมื่อเกิดปัญหาก็สามารถให้บริษัทนั้นๆ มาดูแลได้ทุกส่วน

อย่างบริษัท Konica Minolta ที่ให้บริการ IT Solution แบบ One Stop Service ครบวงจร ตั้งแต่การจัดซื้อคอมพิวเตอร์ โน้ตบุ๊ก, ติดตั้งระบบและโปรแกรมต่างๆ, การจัดการห้องเซิร์ฟเวอร์ ห้องประชุม, การให้คำปรึกษาเรื่องระบบเครือข่ายหรือ IT Helpdesk, ระบบสำรองและกู้คืนข้อมูล, การติดตั้งระบบทำงานอัตโนมัติ ไปจนถึงระบบ Printing และยังการันตีคุณภาพด้วยรางวัลระดับโลก ตอบโจทย์คนทำธุรกิจในยุคนี้อย่างแน่นอน

ในช่วงวิกฤตการณ์แบบนี้ ถ้าบริษัทไหนอยากแก้ปัญหาให้ธุรกิจก้าวไปได้ไกลกว่าเดิม ด้วยการเพิ่มประสิทธิภาพให้กับเทคโนโลยีในธุรกิจ ก็สามารถติดต่อ Konica Minolta ได้ทันที ช่วงนี้มี promotion ทดลองใช้อยู่ด้วย โดยสามารถเข้าไปดูรายละเอียดกันได้ที่ https://www.konicaminolta.co.th

Advertisements