เมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2022 สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า ที่ประชุมคณะกรรมการกำกับนโยบายการเงิน (FOMC) ของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ลงมติให้มีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% ซึ่งถือเป็นครั้งแรกในรอบ 3 ปี ที่ผ่านมา
Jerome Powell ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ ระบุหลังมีมติของที่ประชุมว่า การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายถือเป็นเป้าหมายของธนาคารกลางสหรัฐฯ ในปีนี้อยู่แล้ว และธนาคารกลางสหรัฐฯ จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีก 6 ครั้ง ครั้งละ 0.25% ในช่วงที่เหลือของปีนี้ โดยมีการคาดการณ์ว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐฯ จะปรับขึ้นมาอยู่ที่กรอบ 1.75 – 2.00% ในช่วงสิ้นปี 2022
จากสถานการณ์เงินเฟ้อในสหรัฐอเมริกาที่พุ่งแตะระดับสูงสุดในรอบ 40 ปี ขณะที่อีกหลายประเทศทั่วโลกกำลังเผชิญหน้าต่อภาวะเงินเฟ้อระดับที่สูง ที่เป็นผลพวงทางเศรษฐกิจจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 และจากภาวะสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครน การที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ ตัดสินใจออกมาตรการทางการเงินที่เข้มงวดมากยิ่งขึ้นก็เพื่อป้องกันไม่ให้เศรษฐกิจของสหรัฐฯ เข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยในอนาคต และมีความเป็นไปได้ว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ อาจจะใช้นโยบายทางการเงินที่มีความเข้มงวดมากยิ่งขึ้นในอนาคต
อย่างไรก็ตาม Diane Swonk หัวหน้าทีมนักเศรษฐศาสตร์ จากบริษัทด้านการเงิน Grant Thornton กล่าวว่าการที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในครั้งนี้เปรียบเสมือนกับการทำสงครามกับเงินเฟ้อที่พุ่งสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ในรอบทศวรรษ
ทั้งนี้ ภายหลังการประกาศปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่สูงขึ้นจากธนาคารกลางสหรัฐฯ ส่งผลให้ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ Down Jones ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น 1.5% อีกทั้งยังพบว่ามีการปรับตัวขึ้นลงมากถึง 576 จุด นอกจากนี้ยังพบว่าดัชนีตลาดหลักทรัพย์ S&P 500 มีการปรับตัวเพิ่มขึ้น 2.2% ขณะที่ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ Nasdaq ก็มีการปรับตัวเพิ่มขึ้น 3.7% ด้วยเช่นกัน โดยสำนักข่าว CNBC รายงานว่าสาเหตุที่ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ปรับตัวเพิ่มขึ้นนั้นมาจากการที่นักลงทุนจำนวนมากมองว่า การปรับนโยบายอัตราดอกเบี้ยของ ธนาคารกลางสหรัฐฯ จะสามารถช่วยทำให้สภาพเศรษฐกิจมีความคล่องตัวเพิ่มมากขึ้นในอนาคต
แปลและเรียบเรียงจาก:
https://fxn.ws/3Joc6gU
https://bloom.bg/3qzcKB1
#missiontothemoon
#missiontothemoonpodcast
#worldnews
