Coffee Crisis: กาแฟกำลังจะแพงขึ้น! หลังพื้นที่เพาะปลูกลดลงจากภาวะโลกร้อน

628
1920-Climate change is coming for our coffee

สำนักข่าว CNN รายงานถึง สภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนไป ที่อาจส่งผลให้การเพาะปลูกเมล็ดกาแฟเป็นเรื่องที่ทำได้ยากมากยิ่งขึ้น โดยผลวิจัยฉบับหนึ่งจากทีมนักวิจัยของ Zurich University of Applied Sciences ได้อธิบายว่า หากการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศยังคงเป็นอย่างปัจจุบัน คาดว่าภายในปี 2050 การเก็บเกี่ยวเมล็ดกาแฟจะมีความยากลำบากมากขึ้น อีกทั้งพื้นที่สำหรับการเพาะปลูกเมล็ดกาแฟจะหายไปราว 60% เลยทีเดียว

ซึ่งโดยปกติการเก็บเกี่ยวเมล็ดกาแฟอย่าง อราบิก้าหรือแม้แต่โรบัสต้าเอง ต้องใช้ความพิถีพิถันสูงมาก ทั้งเรื่องของอุณหภูมิที่ไม่เย็นหรือร้อนจนเกินไป หรือการได้รับน้ำฝนในปริมาณที่เพียงพอ และยังต้องใช้ระยะเวลาถึง 3 เดือนในช่วงหน้าแล้ง เพื่อให้ต้นกาแฟสามารถออกดอกได้อย่างเต็มที่ และในทุกๆ วันต้นกาแฟยังจะต้องได้รับแสงแดดที่เพียงพออีกด้วย

ปัจจุบันการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ทำให้อุณหภูมิโลกสูงขึ้นมาอยู่ในระดับ 1.2 องศาเซลเซียสจากช่วงก่อนการปฏิวัติอุตสาหกรรม ส่งผลให้ในปี 2013 พบว่าพื้นที่เพาะปลูกกาแฟในโคลัมเบียลดลงมากกว่า 7% อีกทั้งการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศยิ่งทำให้เกษตรกรต้องใช้ต้นทุนสำหรับการปลูกกาแฟที่เพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย ซึ่งถือได้ว่าเป็นอีกปัจจัยสำคัญที่อาจส่งผลให้เกษตรกรที่เพาะปลูกกาแฟได้ในจำนวนลดน้อยลงในอนาคต

ขณะที่ในอีก 28 ปีข้างหน้า สถานการณ์การเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศที่เลวร้ายลง จะทำให้พื้นที่การปลูกเมล็ดกาแฟเสียหายมากกว่าที่เป็นอยู่ ไม่เพียงแต่ประเทศที่ทำการปลูกเมล็ดกาแฟเป็นหลัก อย่างประเทศบราซิล เวียดนาม อินโดนีเซีย เพียงเท่านั้น แต่ผลกระทบที่เกิดขึ้นอาจส่งผลกระทบไปยังประเทศอื่นๆ อีกด้วย นอกจากนี้ผลการวิจัย ยังระบุเพิ่มเติมว่า การปลูกต้นมะม่วงหิมพานต์ และต้นอาโวคาโด ก็จะได้รับผลกระทบจากความแปรปรวนของสภาพภูมิอากาศด้วยเช่นกัน

ผู้เชี่ยวชาญทางด้านสิ่งแวดล้อมแนะนำว่า สภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงไป อาจทำให้กระบวนการปลูก ต้นกาแฟ ต้นมะม่วงหิมพานต์ และต้นอาโวคาโด ต้องปรับเปลี่ยนขั้นตอนเพื่อปรับให้เข้ากับสภาพอากาศ โดยผู้เชี่ยวชาญได้แนะนำว่า หากเดิมเคยปลูกต้นกาแฟสายพันธุ์เมล็ดอราบิก้า ให้ลองเปลี่ยนมาปลูกต้นกาแฟสายพันธุ์โรบัสต้าแทน นอกจากนี้การปลูกพืชชนิดอื่นในแปลงเดียวกับต้นกาแฟก็สามารถที่จะบรรเทาไม่ให้ต้นกาแฟเสื่อมสภาพได้เช่นกัน

Advertisements

จากข้อมูลข้างต้นนั้น มีความเป็นไปได้สูงว่า ในอนาคตราคากาแฟอาจจะพุ่งสูงขึ้น จากภาวะความแห้งแล้งที่เพิ่มมากขึ้นในประเทศบราซิล ซึ่งเป็นประเทศผู้ผลิตเมล็ดกาแฟรายใหญ่ที่สุดของโลก และรวมไปถึงขั้นตอนในการปลูกต้นกาแฟที่เปลี่ยนไป อย่างการที่เจ้าของไร่ต้องจ้างผู้เชี่ยวชาญด้านเมล็ดกาแฟมาคอยให้คำปรึกษา ก็จะต้องใช้ต้นทุนที่มากขึ้นเช่นกัน

ขณะที่ปีที่แล้ว ราคากาแฟในสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นถึง 6.3% ด้านบริษัท Starbucks เอง ก็พยายามควบคุมราคากาแฟเช่นกัน แต่ก็ไม่สามารถทำได้ ผลกระทบจากสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง ทั้งเรื่องของความแห้งแล้ง พายุ หรือแม้แต่ความหนาวเย็นที่มากกว่าปกตินั้น ถือว่าเป็นสิ่งทีท้าทายต่อเกษตรกรในการที่จะวางแผนเพาะปลูกพืชพันธุ์ชนิดต่างๆ และในท้ายที่สุด ห่วงโซ่อาหารก็จะเกิดความเสียหายและส่งผลให้ราคาอาหารมีแนวโน้มที่จะสูงตามมาในที่สุด


อ้างอิง:
https://cnn.it/3g34i79
https://bit.ly/3AC20FA
https://bit.ly/3H86h6b

#missiontothemoon
#missiontothemoonpodcast
#worldnews

Advertisements
Advertisements

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่