เหตุผลในการลาออกจากงานจะเป็นเพราะอะไรได้บ้าง?
ในเนื้อร้องของเพลง ลาออก ของบิลลี่ โอแกนที่ถูกปล่อยออกมาตั้งแต่ปี 1990 อาจจะยังคงแทนสถานการณ์ และแทนใจของคนทำงานในยุคนี้ได้ เช่น งานที่ทำอยู่ไม่มีความก้าวหน้า ไม่ได้รับความเป็นธรรมจากเจ้านาย หรือได้เงินเดือนสวนทางกับภาระงาน โดยเฉพาะเทรนด์การทำงานของคนรุ่นใหม่ที่ให้ความสำคัญกับความสุขของตัวเองมากขึ้น จนต้องเปลี่ยนงานบ่อยๆ เมื่อเจอกับงานที่ไม่ถูกใจ
กลายเป็นที่มาของเทรนด์ Job-Hopping หรือการเปลี่ยนงานบ่อยๆ ภายในระยะเวลาไม่กี่เดือน ซึ่งแม้ว่าเทรนด์นี้จะตอบโจทย์คนที่กำลังค้นหาตัวเอง แต่ในขณะเดียวกันผลสำรวจปี 2022 จากที่ปรึกษาด้านทรัพยากรบุคคล Robert Half ระบุว่า 77% ของผู้จัดการลังเลที่จะรับผู้สมัครที่เปลี่ยนงานบ่อย ในระยะเวลาไม่ถึงปี ทำให้คนบางส่วนเลือกทนทำงานให้ครบปี แม้ว่าจะต้องเจอกับความเป็นพิษในที่ทำงานก็ตาม
แต่การอยู่ท่ามกลางหัวหน้างานที่ Toxic หรือทำงานทีก็เหมือนต้องต่อสู้กับเพื่อนร่วมงานอยู่ตลอด แถมยังไม่มีความสุขเพราะงานหนัก และได้เงินเดือนน้อยนานนับปี การอดทนเพื่อไม่ให้ตัวเองกลายเป็น Job-Hopper ในตลาดแรงงานถือเป็นคำตอบที่ใช่แน่หรือ?
ลองมาฟังคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญและโค้ชด้านอาชีพที่ให้คำปรึกษากับพนักงานเงินเดือนมากกว่า 700 คนจากกลุ่มอายุ ตำแหน่งงานและอาชีพที่หลากหลายกันว่า เราควรทนต่อไป หรือจะยอมเป็น Job-Hopper ดี?
อย่า ‘ทนไปก่อน’ ให้เสียเวลา อย่างนี้ต้องลาออก!
ฟีบี้ เกวิน (Phoebe Gavin) โค้ชด้านอาชีพผู้ให้คำปรึกษากับพนักงานมาแล้วกว่า 700 คนมองว่าเทรนด์การทำงานแบบทนๆ ทำให้เกิน 1 ปีนั้นเป็นสิ่งที่พบได้บ่อย เพราะหลายคนกลัวว่า Resume ของตัวเองจะไม่เข้าตาผู้จัดการฝ่ายจ้างงาน จึงเลือกที่จะอดทนกับความท็อกซิกในที่ทำงานนานเป็นปีๆ ก่อนที่จะวางแผนหางานใหม่ ซึ่งมักจะเกิดขึ้นในกลุ่มคนทำงานเจน Y และเจน Z
จากสถิติในปี 2022 ของสำนักงานแรงงานสหรัฐฯ พบว่าคนทำงานอายุตั้งแต่ 25-34 ปีมีอายุการทำงานเฉลี่ยอยู่ที่ 2.8 ปีต่อบริษัท ซึ่งน้อยกว่าคนทำงานอายุ 55-64 ปีที่มีอายุการทำงานเฉลี่ยอยู่ที่ 9.8 ปี
นอกจากนี้การสำรวจยังบอกอีกด้วยว่า 35% ของผู้ตอบแบบสอบถามลาออกภายในปีแรกของการจ้างงาน และมีผู้ตอบแบบสอบถามที่พร้อมลาออกจากงานภายใน 6 เดือน หากชีวิตการทำงานไม่เป็นไปอย่างที่คาดหวังสูงถึง 80%
เกวินกล่าวว่าคำแนะนำของโค้ชอาชีพที่ให้พนักงานหลีกเลี่ยงการเป็น Job-Hopper โดยทนทำงานไปก่อน นั้นล้าสมัยเกินไปแล้ว เมื่อพิจารณาจากอัตราส่วนของคนที่พร้อมลาออกสูงถึง 80% และปัจจัยแวดล้อมอื่นๆ อีกมากมายที่คนทำงานต้องเผชิญ เช่น การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ การเปลี่ยนแปลงของตลาดแรงงาน โรคระบาด รวมถึงความเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ
ดังนั้นหากพนักงานพิจารณาแล้วว่าองค์กรไม่สามารถมอบคุณค่าที่พวกเขามองหาอยู่ได้ การลาออกและหางานใหม่อาจจะตอบโจทย์ชีวิตมากกว่า
‘เอาชนะความกลัวให้ได้!’ และหาทางออกใหม่ให้ชีวิต
ในฐานะโค้ชอาชีพที่มีประสบการณ์ เกวินเชื่อว่าเป้าหมายของชีวิตและเส้นทางการเติบโตทางอาชีพของคนวัยทำงานเปลี่ยนไปแล้ว เมื่อเราเริ่มรู้สึกว่า ‘ไม่มีความสุข’ ในที่ทำงาน รู้สึกถูกคุกคามความมั่นคง หรือแม้กระทั่งเริ่มเบื่อหน่ายกับงานที่ทำ นั่นถือเป็นสัญญาณสำคัญที่บอกเราว่าอาจถึงเวลาแล้วที่เราต้องเลือก
ใครที่กำลังกังวลว่าการลาออกเมื่อมีอายุงานยังไม่ครบปีจะทำให้ Resume ของตัวเองถูกปฏิเสธ เกวินแนะนำว่าตราบใดที่เรามีทักษะอาชีพ และประสบการณ์การทำงานน่าสนใจดีอยู่แล้ว ไม่แน่ว่าการลาออกจากที่ทำงานเดิมจะทำให้เราได้เจอกับทางออกที่ใช่สำหรับชีวิตก็ได้
แต่ก่อนที่จะยื่นซองขาวแบบปุบปับ เราลองมาสำรวจตัวเองอย่างละเอียดกันสักหน่อยดีกว่าว่าเราควรจะลาออกเลยดีไหม?
[ ] ลองคุยกับคนใกล้ตัว หรือผู้เชี่ยวชาญที่ให้คำปรึกษาด้านอาชีพ
เมื่อรู้สึกว่าเริ่มไม่อยากไปต่อกับงานเดิมแล้ว เราอาจจะยืนยันความแน่นอนในอนาคตของเราด้วยการปรึกษากับคนใกล้ชิด หรือผู้เชี่ยวชาญเพื่อให้ได้มุมมองที่หลากหลายมากขึ้น เช่น สถานการณ์ที่เราเจออยู่นี้ปกติไหม? ต้องรับมืออย่างไร? หรือถ้าลาออกแล้วจะวางแผนชีวิตอย่างไรต่อดี?
[ ] ลองแก้ปัญหาอย่างตรงจุดด้วยความเป็นกลาง
บางทีสาเหตุที่ทำให้เราอยากลาออกอาจเกิดขึ้นจากปัญหาในที่ทำงานยังไม่ได้รับการแก้ไขสักที ดังนั้นถ้าเราลองมองหาตัวต้นเหตุของปัญหาอย่างเป็นกลาง ไม่ใช้อารมณ์ส่วนตัวในการตัดสิน แล้วลองแก้ปัญหาดูเมื่อปัญหานั้นคลี่คลายลง ก็อาจจะทำให้เรารู้สึกดีกับองค์กรหรือเพื่อนร่วมงานขึ้นได้
[ ] ตรวจสอบประวัติการทำงานของเราให้ดี
เพราะการลาออกภายในระยะเวลาสั้นๆ เพียงครั้งเดียวจะไม่เป็นปัญหากับ Resume ของเรา และไม่ทำให้เราดูเป็น Job-Hopper ด้วย ในขณะที่การเปลี่ยนงานบ่อยครั้งภายในระยะเวลาไม่ถึงปีอาจจะส่งผลต่อการพิจารณา Resume ของเราได้ ดังนั้นก่อนที่จะลาออกก็อย่าลืมพิจารณาประวัติการทำงานของเราด้วย
แน่นอนว่าการสำรวจตัวเองเพื่อลดความกลัวที่จะลาออกนี้ต้องใช้เวลาสักหน่อย แต่เราอาจจะค้นพบทางออกที่ดีกว่าเดิมได้ โดยนั่นไม่ได้หมายความว่าคุณจะต้องอดทน ยืนหยัด และแก้ไขทุกเรื่องวุ่นวายภายในองค์กรให้ดีขึ้น เพราะจริงๆ แล้วการเปลี่ยนวัฒนธรรมหรือโครงสร้างบางอย่างในองค์กรไม่ใช่หน้าที่ของพนักงานเพียงคนเดียว
อีกข้อแนะนำสำหรับคนที่กำลังเจอกับความกดดันในที่ทำงาน จนอยากลาออกแต่ใจไม่กล้าพอก็คือ ‘อย่าหางานใหม่ด้วยความสิ้นหวัง’ และอย่าปล่อยให้ความรู้สึกลบๆ จากที่ทำงานเก่ามาทำลายโอกาสใหม่ในชีวิตของคุณ
อ้างอิง
– Career coach who’s helped 700+ clients: Don’t be afraid to leave a bad job—‘stay a full year’ is ‘outdated, oversimplified’ advice : Phoebe Gavin, CNBC – https://cnb.cx/3VFKoVt
#jobhopping
#worklife
#missiontothemoon
#missiontothemoonpodcast