- โลกยุคนี้เปลี่ยนแปลงเร็วกว่าเดิมหลายเท่า ชุดความคิดเรื่องการมองอนาคตแบบเดิมอาจใช้ไม่ได้อีกต่อไป บางบริษัทจึงเคยเสียโอกาสในการเข้าสู่ตลาดใหญ่เพราะติดกับดักความคิดของตัวเอง
- การเปลี่ยนแปลงควรอยู่ใน DNA ของทุกองค์กร เพราะคงไม่มีใครอยากถูกทิ้งไว้ข้างหลัง
เราได้ยินกันมานานแล้วว่าอีลอน มัสก์ (Elon Musk) ต้องการสร้างเมืองมนุษย์บนดาวอังคาร แต่เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา เขาได้เล่าให้ถึงแผนการที่ว่าโดยละเอียดที่สุดเท่าที่เคยมีมาให้สาธารณะชนฟังเป็นครั้งแรก ในงาน International Astronautial Crogress ที่จัดขึ้นที่เมืองแอลิเดด ประเทศออสเตรเลีย
การ “สร้างเมือง” ที่ว่านี้จะเริ่มในปี 2024
โดยแผนการทั้งหมดจะเริ่มจากการส่งเรือขนส่งสินค้าจำนวนสองลำไปที่ดาวอังคารในปี 2022 และถ้าสำเร็จในปี 2024 จะส่งไปอีก 4 ลำ เป็นเรือขนส่งสินค้าสองลำ และอีกสองลำจะขนคนไป
สำหรับเป้าหมายของภารกิจแรก คือการหาแหล่งน้ำที่ดีที่สุด และภารกิจที่สองคือการสร้างโรงงานสำหรับเชื้อเพลิงจรวด ซึ่งจะประกอบไปด้วยแผงโซลาร์จำนวนมาก และจะมีกระบวนการในการดึงคาร์บอนไดออกไซด์ออกจากชั้นบรรยากาศเพื่อสร้างและเก็บดีพไครโอเจนิค (Deep Cryogenic) มีเทน และออกซิเจน
หลักจากนั้นก็จะสร้างฐานโดยเริ่มจากยานหนึ่งลำก่อน จากนั้นจึงขยายเป็นยานหลายลำ แล้วค่อยเริ่มสร้างเมือง และขยายเมืองให้ใหญ่ขึ้นไปเรื่อยๆ
ส่วนยาน SpaceX ก็จะใช้ BFR (เข้าใจว่าเป็นตัวเดียวกับที่วันก่อนเพิ่งเป็นข่าวฮือฮาเรื่องการขนส่งคนไปที่ไหนก็ได้ในโลกในเวลาต่ำกว่า 1 ชั่วโมง) ในการส่งคนจากโลกไปยังดาวอังคาร (จริงๆรายละเอียดมีอีกเยอะลองหาอ่านดูนะครับ)
อีลอนแถมให้ด้วยในตอนท้ายว่าทำไมเขาถึงอยากไปสร้างเมืองบนดาวอังคารนัก เขาพูดไว้แบบนี้ครับ
ได้ฟังเรื่องนี้ของอีลอนแล้วทำให้ผมนึกถึงเรื่องที่ผมได้ฟังมาในห้องเรียน Design Thinking ของศูนย์กลางนวัตกรรมแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (CU innovation hub)
น้องต้อง กวีวุฒิ คนสอน เล่าเรื่องหนึ่ง ให้ฟังพร้อมเอาภาพนี้มาให้พวกเราดูด้วยครับ ซึ่งภาพนี้บอกอะไรเราเยอะมากครับ
ในช่วงปี 1985 บริษัทเอทีแอนด์ที (AT&T) ซึ่งในตอนนั้นเป็นบริษัทโทรคมนาคมยักษ์ใหญ่ของโลกก็ว่าจ้างให้บริษัทที่ปรึกษาชื่อดังอย่างแมคคินซีย์แอนด์คอมปะนี (Mckinsey & Co) มาทำการศึกษาว่าพวกเขาควรจะเข้าสู่ธุรกิจโทรศัพท์มือถือดีไหม
ซึ่งเป็นคำถามที่สมเหตุสมผลมากๆเพราะเอทีแอนด์ทีเป็นยักษ์ใหญ่ที่สุดในวงการตอนนั้น ถ้าใครจะทำมือถือก็ต้องเป็นเอทีแอนด์ทีนี่แหละ
แมคคินซีย์ก็กลับมาพร้อมกับบอกว่า ในปี 2000 (คืออีก 15 ปีหลังจากที่มีการทำการศึกษาเรื่องนี้) น่าจะมีการใช้โทรศัพท์มือถือกันอยู่ที่ประมาณ 900,000 เครื่องได้
แน่นอนด้วยตัวเลขน้อยแค่นี้ เอทีแอนด์ทีจึงตัดสินใจไม่วางแผนระยะยาวในการเข้าสู่ตลาดนี้อย่างเต็มตัว แต่เรื่องจริงๆทีเกิดขึ้นคือมีผู้ใช้บริการโทรศัพท์มือถือถึง 109,000,000 เครื่อง
ผิดจากการคาดการณ์ไป 120 เท่า !
ทำให้เอทีแอนด์ทีอาจจะเรียกได้ว่าพลาดโอกาสในการเข้าสู่ตลาดที่ใหญ่ที่สุดตลาดหนึ่งของโลก และต้องนั่งมองดูแอปเปิ้ลซึ่งวันนี้เป็นบริษัทที่ใหญ่ที่สุดในโลกจากการสร้างไอโฟนและเปลี่ยนโลกของมือถือไปตลอดกาล
ประเด็นที่ผมต้องการจะสื่อคือเอทีแอนด์ทีไม่ผิด แมคคินซีย์ก็ไม่ผิด เพราะ ณ ข้อมูลตอนนั้น ถ้าให้เราทุกคนไปนั่งตัดสินใจหรือทำการศึกษาเรื่องนี้เราก็ได้ผลออกมาแบบนี้ และเมื่อผลออกมาแบบนี้ การตัดสินใจก็คงไม่ต่างจากเอทีแอนด์ทีเท่าไร
แต่สิ่งที่น่าคิดมากๆคือ ด้วยโลกยุคนี้ที่เปลี่ยนไปเร็วกว่าปี 1985 ไปรู้กี่เท่าตัว ชุดความคิดเรื่องการมองอนาคตแบบที่เราถูกฝังมาในหัวมันจะยังใช้ได้อยู่ไหม?
หรือเราต้องโยนความเชื่อแบบเดิมทิ้งไป การทำนายก็เป็นสิ่งที่ดี แต่เรามีความสามารถในการมองเห็นอนาคตได้แบบนั้นจริงๆ หรือ?
หรือจริงๆแล้วเราควรทดลองสมมติฐานของตลาดๆไปเรื่อย พร้อมกับความคิดที่ว่า เราพร้อมจะปรับเปลี่ยนตัวเองและองค์กรตลอดเวลา
ให้การเปลี่ยนแปลงอยู่ใน DNA ขององค์กร ให้ “Change” เป็นวัฒนธรรมของเรา
ส่วนตัวจริงผมคิดว่ายุคนี้เป็นยุคที่ถ้าเรา “ฝัน” อะไร เราต้อง “ศรัทธา” ในความฝันของเรา โยนกรอบความเชื่อเดิมๆ ทั้งหมดที่มีอยู่ทิ้งไป
เราคงไม่อยากเป็นคนถูกทิ้งอยู่ข้างหลัง
ที่ผมเอาสองเรื่องนี้มาเขียนให้อ่านเทียบ ก็เพราะว่าตอนนี้เรายังไม่รู้หรอกว่าสิ่งที่อีลอนพูดจะเกิดขึ้นจริงไหม แต่ส่วนตัวผมคิดว่าเกิดขึ้นแน่ แม้จะมีคนค่อนแคะเยอะมากว่าความคิดของอีลอนเป็นความคิดของคนบ้า สิ่งที่เขาคิดมันไม่มีทางเกิดขึ้นแน่นอนด้วย “เหตุผล” ต่างๆนานา ซึ่งเหตุผลส่วนใหญ่มาจากพื้นฐานความรู้ที่เรามีในปัจจุบัน
แต่อีก 10 ปีเดี๋ยวเราก็จะรู้ครับว่าใครบ้ากันแน่
สิ่งหนึ่งที่ผมรู้แน่ๆวันนี้เลยก็คือ เมื่อโลกหมุนไปเร็วมาก เราก็คงไม่อยากเป็นแบบเอทีแอนด์ที เพราะติดกับดักทางความคิดของตัวเอง
ใช่ไหมครับ?
photo credit : electrek.co