อะไรจะเกิดขึ้นต่อไป?

311
มีเวลาไม่เยอะอยากอ่านสั้นๆ
  • โลกยุคนี้เปลี่ยนแปลงเร็วกว่าเดิมหลายเท่า ชุดความคิดเรื่องการมองอนาคตแบบเดิมอาจใช้ไม่ได้อีกต่อไป บางบริษัทจึงเคยเสียโอกาสในการเข้าสู่ตลาดใหญ่เพราะติดกับดักความคิดของตัวเอง
  • การเปลี่ยนแปลงควรอยู่ใน DNA ของทุกองค์กร เพราะคงไม่มีใครอยากถูกทิ้งไว้ข้างหลัง

เราได้ยินกันมานานแล้วว่าอีลอน มัสก์ (Elon Musk) ต้องการสร้างเมืองมนุษย์บนดาวอังคาร แต่เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา เขาได้เล่าให้ถึงแผนการที่ว่าโดยละเอียดที่สุดเท่าที่เคยมีมาให้สาธารณะชนฟังเป็นครั้งแรก ในงาน International Astronautial Crogress ที่จัดขึ้นที่เมืองแอลิเดด ประเทศออสเตรเลีย

การ “สร้างเมือง” ที่ว่านี้จะเริ่มในปี 2024 

โดยแผนการทั้งหมดจะเริ่มจากการส่งเรือขนส่งสินค้าจำนวนสองลำไปที่ดาวอังคารในปี 2022 และถ้าสำเร็จในปี 2024 จะส่งไปอีก 4 ลำ เป็นเรือขนส่งสินค้าสองลำ และอีกสองลำจะขนคนไป 

Advertisements

สำหรับเป้าหมายของภารกิจแรก คือการหาแหล่งน้ำที่ดีที่สุด และภารกิจที่สองคือการสร้างโรงงานสำหรับเชื้อเพลิงจรวด ซึ่งจะประกอบไปด้วยแผงโซลาร์จำนวนมาก และจะมีกระบวนการในการดึงคาร์บอนไดออกไซด์ออกจากชั้นบรรยากาศเพื่อสร้างและเก็บดีพไครโอเจนิค (Deep Cryogenic) มีเทน และออกซิเจน

หลักจากนั้นก็จะสร้างฐานโดยเริ่มจากยานหนึ่งลำก่อน จากนั้นจึงขยายเป็นยานหลายลำ แล้วค่อยเริ่มสร้างเมือง และขยายเมืองให้ใหญ่ขึ้นไปเรื่อยๆ

ส่วนยาน SpaceX ก็จะใช้ BFR (เข้าใจว่าเป็นตัวเดียวกับที่วันก่อนเพิ่งเป็นข่าวฮือฮาเรื่องการขนส่งคนไปที่ไหนก็ได้ในโลกในเวลาต่ำกว่า 1 ชั่วโมง) ในการส่งคนจากโลกไปยังดาวอังคาร (จริงๆรายละเอียดมีอีกเยอะลองหาอ่านดูนะครับ)

อีลอนแถมให้ด้วยในตอนท้ายว่าทำไมเขาถึงอยากไปสร้างเมืองบนดาวอังคารนัก เขาพูดไว้แบบนี้ครับ

จงมาเป็นเผ่าพันธุ์ที่มีดาวเคราะห์หลายดวง แล้วก็ลืมเรื่องการเป็นสายพันธุ์ดาวเคราะห์เพียงดวงเดียวไปได้เลย
Becoming a multi-planet species, beats the hell out of being a single planet species.

ได้ฟังเรื่องนี้ของอีลอนแล้วทำให้ผมนึกถึงเรื่องที่ผมได้ฟังมาในห้องเรียน Design Thinking ของศูนย์กลางนวัตกรรมแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (CU innovation hub)

what will happen

น้องต้อง กวีวุฒิ คนสอน เล่าเรื่องหนึ่ง ให้ฟังพร้อมเอาภาพนี้มาให้พวกเราดูด้วยครับ ซึ่งภาพนี้บอกอะไรเราเยอะมากครับ

ในช่วงปี 1985 บริษัทเอทีแอนด์ที (AT&T) ซึ่งในตอนนั้นเป็นบริษัทโทรคมนาคมยักษ์ใหญ่ของโลกก็ว่าจ้างให้บริษัทที่ปรึกษาชื่อดังอย่างแมคคินซีย์แอนด์คอมปะนี (Mckinsey & Co) มาทำการศึกษาว่าพวกเขาควรจะเข้าสู่ธุรกิจโทรศัพท์มือถือดีไหม 

ซึ่งเป็นคำถามที่สมเหตุสมผลมากๆเพราะเอทีแอนด์ทีเป็นยักษ์ใหญ่ที่สุดในวงการตอนนั้น ถ้าใครจะทำมือถือก็ต้องเป็นเอทีแอนด์ทีนี่แหละ 

แมคคินซีย์ก็กลับมาพร้อมกับบอกว่า ในปี 2000 (คืออีก 15 ปีหลังจากที่มีการทำการศึกษาเรื่องนี้) น่าจะมีการใช้โทรศัพท์มือถือกันอยู่ที่ประมาณ 900,000 เครื่องได้

แน่นอนด้วยตัวเลขน้อยแค่นี้ เอทีแอนด์ทีจึงตัดสินใจไม่วางแผนระยะยาวในการเข้าสู่ตลาดนี้อย่างเต็มตัว แต่เรื่องจริงๆทีเกิดขึ้นคือมีผู้ใช้บริการโทรศัพท์มือถือถึง 109,000,000 เครื่อง 

ผิดจากการคาดการณ์ไป 120 เท่า ! 

Advertisements

ทำให้เอทีแอนด์ทีอาจจะเรียกได้ว่าพลาดโอกาสในการเข้าสู่ตลาดที่ใหญ่ที่สุดตลาดหนึ่งของโลก และต้องนั่งมองดูแอปเปิ้ลซึ่งวันนี้เป็นบริษัทที่ใหญ่ที่สุดในโลกจากการสร้างไอโฟนและเปลี่ยนโลกของมือถือไปตลอดกาล

ประเด็นที่ผมต้องการจะสื่อคือเอทีแอนด์ทีไม่ผิด แมคคินซีย์ก็ไม่ผิด เพราะ ณ ข้อมูลตอนนั้น ถ้าให้เราทุกคนไปนั่งตัดสินใจหรือทำการศึกษาเรื่องนี้เราก็ได้ผลออกมาแบบนี้ และเมื่อผลออกมาแบบนี้ การตัดสินใจก็คงไม่ต่างจากเอทีแอนด์ทีเท่าไร 

แต่สิ่งที่น่าคิดมากๆคือ ด้วยโลกยุคนี้ที่เปลี่ยนไปเร็วกว่าปี 1985 ไปรู้กี่เท่าตัว ชุดความคิดเรื่องการมองอนาคตแบบที่เราถูกฝังมาในหัวมันจะยังใช้ได้อยู่ไหม?

หรือเราต้องโยนความเชื่อแบบเดิมทิ้งไป การทำนายก็เป็นสิ่งที่ดี แต่เรามีความสามารถในการมองเห็นอนาคตได้แบบนั้นจริงๆ หรือ?

หรือจริงๆแล้วเราควรทดลองสมมติฐานของตลาดๆไปเรื่อย พร้อมกับความคิดที่ว่า เราพร้อมจะปรับเปลี่ยนตัวเองและองค์กรตลอดเวลา

ให้การเปลี่ยนแปลงอยู่ใน DNA ขององค์กร  ให้ “Change” เป็นวัฒนธรรมของเรา

ส่วนตัวจริงผมคิดว่ายุคนี้เป็นยุคที่ถ้าเรา “ฝัน” อะไร เราต้อง “ศรัทธา” ในความฝันของเรา โยนกรอบความเชื่อเดิมๆ ทั้งหมดที่มีอยู่ทิ้งไป 

เราคงไม่อยากเป็นคนถูกทิ้งอยู่ข้างหลัง


ที่ผมเอาสองเรื่องนี้มาเขียนให้อ่านเทียบ ก็เพราะว่าตอนนี้เรายังไม่รู้หรอกว่าสิ่งที่อีลอนพูดจะเกิดขึ้นจริงไหม แต่ส่วนตัวผมคิดว่าเกิดขึ้นแน่ แม้จะมีคนค่อนแคะเยอะมากว่าความคิดของอีลอนเป็นความคิดของคนบ้า สิ่งที่เขาคิดมันไม่มีทางเกิดขึ้นแน่นอนด้วย “เหตุผล” ต่างๆนานา ซึ่งเหตุผลส่วนใหญ่มาจากพื้นฐานความรู้ที่เรามีในปัจจุบัน

แต่อีก 10 ปีเดี๋ยวเราก็จะรู้ครับว่าใครบ้ากันแน่

สิ่งหนึ่งที่ผมรู้แน่ๆวันนี้เลยก็คือ เมื่อโลกหมุนไปเร็วมาก เราก็คงไม่อยากเป็นแบบเอทีแอนด์ที เพราะติดกับดักทางความคิดของตัวเอง

ใช่ไหมครับ?

photo credit : electrek.co

Advertisements

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่