อัพเกรดความ Productive เป็น Super Productive

6625
รูปภาพจาก Number 24 x Shutterstock.com
มีเวลาไม่เยอะอยากอ่านสั้นๆ
  • 5 ข้อที่จะช่วยให้คุณเป็น Super Productive
  • 1. อย่าให้ใครหรือสถานการณ์ไหนมาขโมยเวลาของคุณไปได้ (และก็อย่าทำแบบนั้นกับคนอื่นเช่นกัน)
  • 2. Fasting Your Body, Supercharged Your Mind (ฟาสติ้งร่างกาย ชาร์จพลังความคิด)
  • 3. ออกกำลังกายตอนเช้า 365 วัน
  • 4. พร้อมเสมอสำหรับการอ่านแบบทำความเข้าใจ (Deep Reading)
  • 5. ฝึกสร้างสภาพแวดล้อมที่ทำงานได้ดีในทุกสถานการณ์

เตรียมตัวสู่การอัพเกรด

ก่อนอื่นถ้าเลือกที่จะเป็น Super Productive ต้องบอกเลยนะครับว่า คุณอาจได้ยินเสียงจากคนรอบข้างประมาณว่า “จะฟิตไปไหน” หรือ “แม่งบ้า” อะไรทำนองนี้เป็นเรื่องปกติมาก

ในความจริงก็คือ บางทีมันก็ดูบ้าจริงๆครับ หลายครั้งเวลาผมนั่งทำอะไรเยอะๆ ผมก็เคยคิดนะว่า “เราเป็นไรมากไหมเนี่ย”

ดังนั้น วิธีการต่อไปนี้จึงเหมาะสำหรับคนที่จะใช้ชีวิตแบบ Productive มากๆ และแน่นอนไม่มีอะไรได้มาฟรีๆ ต้องแลกมาด้วยราคาที่แพงมากเช่นกันครับ เพราะฉะนั้น เราต้องเลือกนะครับว่าอะไรที่จะไม่แลก เช่น ไม่ว่าจะ Productive แค่ไหน ก็ขอครอบครัวกับสุขภาพไว้ให้มี Priority (ลำดับความสำคัญ) สูงสุดเสมอ

Advertisements

ถ้าทำแบบนี้คุณอาจจะรู้สึกเครียดเป็นบางครั้ง เอาเป็นเวลาอยากให้ลองก่อนละกันครับ ถ้าไม่ชอบค่อยว่ากัน

สิ่งที่สำคัญที่ต้องคำนึงถึงสามอย่างหรือที่ผมเรียกว่า Super-Productive Ecosystem ประกอบไปด้วย

  1. สิ่งที่ทำนั้น ด้วยตัวมันเองช่วยเพิ่มความ Productive ได้อย่างไร (Active Result)
  2. สิ่งที่เราทำนั้นส่งผลให้เรื่องอื่นที่ต่อเนื่องกัน Productive ขึ้นด้วยได้อย่างไร (Passive Result)
  3. เรื่องนี้กระทบหรือควรถูกบริหารจัดการ วิธีคิด (Mindset) อย่างไร (Habit Mindset)

โดยกระบวนการในการทำจะเป็นแบบของสตาร์ทอัพเลยคือการ Built >Measure> Learn (สร้าง>วัดผล>เรียนรู้) ซึ่งหมายความว่า เราจะต้องพยายามสร้างให้เป็นนิสัย ลองดูว่าเราทำแล้ว ทำได้แค่ไหน และที่สำคัญที่สุด คือ ต้องเรียนรู้ว่านิสัยที่ว่านี้ จะสามารถอยู่ได้อย่างคงทนถาวรได้อย่างไร

แล้วนิสัยที่จะช่วยคุณอัพเกรดความ Super Productive มีอะไรบ้าง

นิสัยแรก>> อย่าให้ใครหรือสถานการณ์ไหนมาขโมยเวลาของคุณไปได้ (และก็อย่าทำแบบนั้นกับคนอื่นเช่นกัน) :

เวลาผมจะนัดใครไม่ว่าจะนัดประชุม นัดสัมภาษณ์ หรือออกไปพูด ผมจะถามเลยว่าเวลาที่เริ่ม “จริงๆ” คือตอนไหน เพราะผมพบว่าหลายงานมากที่นัดผมไป 9.00 น. แต่เริ่มจริงๆ 10.00 น. ซึ่งเป็นอะไรที่เสียเวลามากๆครับ พอเวลาเริ่มช้ามันมักตามมาด้วยการเลิกช้า ซึ่งจะกระทบกับงานต่อๆไปด้วย ดังนั้น การรู้เวลาเริ่มจริงๆ เป็นสิ่งที่สำคัญมาก และผมจะพยายามอย่างที่สุดในการเลิกให้ตรงเวลาด้วย

เพราะจริงๆ ถ้าบอกว่าเริ่ม 9.00 น. เวลาที่ผมต้องไปถึงจริงๆ ก็ต้องประมาณ 8:30 น. เพื่อเผื่อเรื่องฉุกเฉินต่างๆ ดังนั้น ถ้าไม่วางแผนเวลาให้ดี เวลาทั้งหมดจะหมดไปกับการเล่นโทรศัพท์

บางรายการพิธีเปิดก็จัดไปเกือบชั่วโมงละครับ และผมเชื่อว่ากระบวนการนี้มี Productivity ต่ำมาก และหลายอย่างสามารถตัดทิ้งได้สบายๆ โดยไม่กระทบกับอะไรเลยครับ

แต่อย่างไรก็ดี เรื่องพวกนี้แม้ว่าจะพยายามป้องกันแค่ไหน มันก็จะเกิดขึ้นครับ เราจึงต้องมีแผนเสมอสำหรับ “Waiting Time” (ช่วงเวลาที่รอ) ว่าจะทำอะไร ส่วนใหญ่ถ้าไปพูดพอไปถึงงานเราจะต้องเอาคอมพิวเตอร์ไปเซ็ทก่อน เราจะไม่มีคอมอยู่กับตัว เพราะฉะนั้นต้องเตรียมการครับ สำหรับผมของ 3 อย่างที่จะติดกระเป๋าไปเสมอคือ Ipad หูฟัง และหนังสือ (หรือ Kindle) ซึ่งจะสามารถทำให้เราทำงานได้อย่างต่อเนื่องครับ และหูฟังจะช่วยให้เรามีสมาธิได้ประมาณนึง กรณีที่สถานที่ที่เราต้องนั่งรอมันพลุกพลานมากน่ะครับ

ผลกระทบกับ Super-Productive Ecosystem

  1. Active : ชัดๆ เลยคือคุณไม่เสียเวลา ทั้งเวลาของงานนี้และเวลาของงานต่อๆ ไปด้วย
  2. Passive : เป็นการช่วยให้คนรอบๆ ตัวคุณเคารพเวลาของคุณ และเวลาของตัวเองมากขึ้น
    เอาจริงๆ ผมหวังว่าเรื่องนี้จะช่วยปรับภาพเวลาแบบไทยๆ ที่เริ่มช้าเลิกช้าได้ไม่มากก็น้อยครับ
  3. Mindset : ถ้าคุณเห็นเวลามีค่ามาก คุณจะหวงแหนมัน พอหวงแหนมันคุณจะมีวิธีคิดในการดูแลเวลาได้ดีขึ้น และไม่ปล่อยมันไปอย่างสูญเปล่าครับ

นิสัยที่สอง>> Fasting Your Body, Supercharged Your Mind

เรื่องนี้ยังเป็นที่ถกเถียงกัน และต้องบอกว่าผมเองก็ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญเรื่องนี้ แต่ว่าผมเองได้ทำด้วยตัวเองมาหลายเดือนแล้วพบว่า Intermittent Fasting ไม่เพียงเปลี่ยนแปลงพลังงานของสมอง, สมาธิ หรือแม้แต่น้ำหนักตัว แต่ที่สำคัญสุดคือ มันเปลี่ยน Mindset ของผมไปอย่างสิ้นเชิง

ออกตัวก่อนเหมือนเดิมทุกครั้งครับว่า

นอกจากเรื่องของการดึงคีโตนมาใช้เมื่อไกลโคเจนหมดไปหลังจากเราอดอาหารเกิน 12 ชั่วโมงแล้ว อีกเรื่องที่คนพูดถึงเยอะมากตอนนี้คือ เรื่อง Autophagy

เรื่องนี้โด่งดังมาจากการที่ โยชิโนริ โอสุมิ นักวิจัยญี่ปุ่นคว้ารางวัลโนเบลสาขาการแพทย์จากการศึกษากลไกการกินตัวเองของเซลล์ การค้นพบของเขาทำให้เรามีความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องเซลล์กับกลไกของมัน พร้อมกับความเข้าใจที่เกี่ยวข้องกับโรคต่าง เช่น โรคพาร์กินสันและโรคทางสมองมากขึ้นด้วย

ข้อมูลจาก BBC เกี่ยวกับ Autophagy ได้กล่าวไว้ว่า กลไกการกินตัวเองของเซลล์ (Autophagy) เป็นกระบวนการฟื้นฟูทางธรรมชาติ ที่เกิดขึ้นในระดับเซลล์ในร่างกาย ช่วยลดโอกาสในการเกิดโรคบางอย่างลงได้ รวมทั้งทำให้อายุยืนขึ้นด้วย

บริษัทยาต่างเร่งหายาที่จะกระตุ้นกระบวนการ Autophagy แต่นักวิชาการหลายคนบอกว่า กระบวนการดังกล่าวสามารถเกิดได้จากการทำ Fasting รวมไปถึงการออกกำลังกายอย่างหนักและจำกัดการบริโภคคาร์โบไฮเตรท

ถ้าพูดถึงการ Fasting กับกระบวนการ Autophagy ส่วนใหญ่เอกสารที่ผมได้อ่านมาจะบอกว่ากระบวนการนี้จะเริ่มหลังจากเรากินอาหารคำสุดท้ายไปนานประมาณ 16-18 ชั่วโมง

บริษัทยาต่างๆ และนักวิชาการ ก็ได้แข่งกันหายาที่จะกระตุ้นกระบวนการดังกล่าว แต่ตอนนี้ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพและการกินอาหาร กลับบอกว่ากระบวนการนี้สามารถได้รับการการตุ้นให้เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ ด้วยการอดอาหาร ออกกำลังกายอย่างหนัก และจำกัดคาร์โบไฮเดรต

ผมทดลองทำ Fasting มาหลายรูปแบบมากจนกระทั่งมาพบกับรูปแบบที่เหมาะสมกับตัวเองมากที่สุดคือ 18/6 คือไม่กิน 18 ชั่วโมง ช่วงกิน (หรือ Feeding Window) มี 6 ชั่วโมง โดยทำทุกวัน แล้วพบว่าวิธีนี้ส่งผลต่อ Productivity อย่างมาก มากจนผมถึงกับคิดในใจหลายครั้งแล้วว่า ทำไมเราถึงไม่รู้จักวิธีการนี้มาก่อน

Advertisements

เรื่องอาหารกับ Productivity นั้นไม่เพียงแต่เกี่ยวกับการ Fasting เท่านั้น แต่สิ่งที่เรากินตอนช่วง Feeding Window ก็สำคัญไม่แพ้กัน โดยหลักๆ แล้วโปรตีนกับอาหารที่มีวิตามินและแร่ธาตุเยอะๆ จะช่วยให้สมองทำงานได้ดีมีกำลังในการทำงานที่ดี ส่วนอาหารที่มีน้ำตาลสูง จะส่งผลให้สมองเฉื่อยๆครับ ซึ่งสิ่งที่กินจะเกี่ยวกับ “โอกาส” ที่ Fasting จะหลุดด้วย

ผมสังเกตดูว่าวันที่หลุดโดยไม่ได้ตั้งใจจะเกิดขึ้นจากสาเหตุหลักๆ เพียงสาเหตุเดียวคือ คุณภาพของอาหารที่กินในวันนั้นไม่ดีพอ ซึ่งเราก็จะต้องสังเกตและปรับปรุงเพื่อให้เราหาสิ่งที่ดีที่สุด

ผลกระทบกับ Super-Productive Ecosystem

  1. Active : การทำ fasting จะช่วยให้สมองทำงานได้ดีขั้น สมาธิดีขึ้น
  2. Passive : ผลข้างเคียงที่หลายคนอาจไม่ค่อยได้นึกถึง คือ การมีเวลาเพิ่มอีกเยอะเลย อย่างถ้าทำ 18/6 และกินแค่เช้ากับเที่ยง ตอนเย็นนี้สามารถเอาเวลามาทำอะไรได้เพียบเลยครับ และเป็นเวลาที่มีคุณภาพด้วย เรียกว่าช่วง 18:00 น. ถึง 21:00 น. ปกติเป็นเวลาที่ไม่ได้ Productive มากเท่าไหร่ แต่พอ Fasting เวลาช่วงนี้ Productive มากครับ ขนาดเล่นกับลูกก็ยังเป็นการเล่นที่ Productive เช่นกัน
  3. Mindset : ตอนทำ fasting เราต้องมีจิตใจเข้มแข็งพอควรโดยเฉพาะตอนแรกๆ หรือตอนที่เราต้องอยู่ในวงของเพื่อนที่กินปิ้งย่างกันอยู่แล้วเรากินไม่ได้ ทำให้เราได้เรียนรู้ว่าการที่ต้อง “ต่อสู้” กับจิตใจตัวเองทุกวันนั้นมันมีความรู้สึกเป็นอย่างไร และเมื่อทำได้เราจะรู้สึกภาคภูมิใจกับตัวเองครับ

แม้ตอนหลุด Fasting ก็เป็นโอกาสที่จะได้เรียนรู้เช่นกัน

อย่าลืมเรียนรู้นะครับว่าเราหลุดเพราะอะไร แล้วมาพิจารณา ว่าตอนนี้เราคิดอะไรอยู่ อะไรที่กดดันทำให้เราหลุด Fasting ในวันนั้น ถ้าเข้าใจ Mindset ของเราเราจะคิดออกครับ

นิสัยที่สาม>> ออกกำลังกายตอนเช้า 365 วัน

การออกกำลังกายตอนเช้าไม่ได้เป็นประโยชน์แค่ต่อร่างกายเท่านั้น เพราะถ้าจะเอาแค่ประโยชน์ต่อร่างกาย ออกตอนเย็นก็เหมือนกันครับ อาจจะดีกว่าด้วยซ้ำ เพราะตอนเย็นแรงเยอะกว่า

แต่การออกกำลังกายตอนเช้านั้น ช่วยเรื่องการทำงานครับ เพราะหลังออกกำลังกาย ร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนต่างๆ ที่ทำให้เราจิตใจนิ่ง อารมณ์เย็น และมองโลกในแง่บวก ซึ่งทั้งสามอย่างนี้ส่งผลต่อสมรรถภาพการทำงานสำคัญในช่วงเช้าอย่างมาก

ผลกระทบกับ Super-Productive Ecosystem

  1. Active : การออกกำลังกายส่งผลโดยตรงกับช่วง Prime Time ช่วงเช้า ทำให้ช่วง Prime Time นั้นเข้มข้นมากๆ งานยากๆ มีโอกาสถูกทำให้สำเร็จในช่วงเวลานี้มาก
  2. Passive : เวลาออกกำลังกายตอนเช้ามันเป็นเหมือนกับการบอกตัวเองว่าวันนี้ทำอะไรสำเร็จอย่างนึงแล้วนะ มันช่วยสร้างความมั่นใจกับเรื่องที่เรากำลังจะทำที่เหลือในวันนั้นๆ
  3. Mindset : ความประหลาดของการออกกำลังกายตอนเช้า คือ การลากตัวเองออกจากเตียงนั้นโคตรยาก แต่ว่าพอได้เริ่มออกกำลังกายแล้ว เช่น ก้าวขาวิ่งไปแล้วซัก 2 นาที ยกเวทไปแล้วซักเซทนึง คราวนี้ที่เหลือมันจะง่ายแล้วครับ เพราะฉะนั้นต้องคิดวิธีเริ่มให้ได้ เช่น จัดชุดออกกำลังกายไว้ที่ปลายเตียงทุกคืน

นิสัยที่สี่>> พร้อมเสมอสำหรับ Deep Reading

เรื่องประโยชน์ของการอ่านหนังสือคงไม่ต้องอธิบายกันเพิ่มเติมแล้วละครับ แต่ที่อยากคุยคือเรื่อง Deep Reading ครับ

การอ่านแบบทำความเข้าใจ (Deep Reading) เป็นเรื่องที่ผมเชื่อว่าสำคัญมากสำหรับเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ดังนั้น เราต้องหาเวลาการทำ Deep Reading

สำหรับผม Deep Reading ทำยากมากบนมือถือ เพราะฉะนั้นเราต้องสร้างนิสัยนี้ให้ได้อย่างน้อยที่สุดวันละ 30 นาที

นอกจากหนังสือหรือ Kindle แล้ว อีกอย่างที่ผมต้องมีเลยคือหูฟังตัดเสียงดีๆครับ เพราะหลายครั้งเวลาจะอ่านหนังสือ บางทีเสียงมันดังก็จะอ่านได้ช้าลงไปเยอะ

ส่วนตัวผมนิสัยการอ่านหนังสืออย่างต่อเนื่องเป็นนิสัยที่สร้างยากที่สุด และหายไปง่ายที่สุด แปลว่าเราต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการรักษามันไว้ ซึ่งหมายความว่าเราต้องหาตารางสอดแทรกเรื่อง Deep Reading เข้าไปให้ได้ทุกวัน เพราะถ้าหลุดเมื่อไร ต้องใช้แรงเยอะกว่าจะกลับมาได้ครับ

ผลกระทบกับ Super-Productive Ecosystem

  1. Active : จะแปลกไหมครับ ถ้าผมจะบอกว่าการอ่านหนังสือมีผลแบบ Active ไม่มาก นอกจากการอ่านเพื่อไปทำอะไรเดี๋ยวนั้น เช่น อ่านเพื่อทำรายงาน อ่านเพื่อสอบ อ่านเพื่อทำเทรนนื่ง ฯลฯ แต่นอกจากนั้นผลมันจะมาตอน Passive มากกว่าครับ
  2. Passive : เรื่องที่เราอ่าน ความรู้ ความเข้าใจของหนังสือ มันจะค่อยๆ ซึมซับอยู่ในสมองเราและเปลี่ยนแปลงเราทีละนิดครับ หลายครั้งเวลาผมบอกว่าเจอ “หนังสือเปลี่ยนชีวิต” บางทีมันไม่ได้หมายถึงว่าเล่มนั้นเปลี่ยนชีวิต แต่มันเป็นการสะสมของหลายๆ เล่มจนได้มาเจอเล่มที่เป็นจิ๊กซอว์ตัวสุดท้าย พอมันครับมันเลยทรงพลังมาก
  3. Mindset : ถ้าเรารู้ว่ามันสร้างยากแต่ถูกทำลายง่าย เราจะพยายามประคบประหงมมัน ด้วยการหมั่นเติมเชื้อเพลิงให้ทุกวันอย่าให้ขาด

นิสัยที่ห้า>> สร้าง My Space ได้อย่างรวดเร็ว

อันนี้ยากมากจริงๆ ผมเองกำลังฝึกอยู่เช่นกันครับ คำว่า My Space คือ การสร้างสภาวะแวดล้อมข้างๆให้เป็นกลางเพื่อให้เราทำงานได้อย่างรู้สึกเหมือนกับเราอยู่คนเดียว

ยกตัวอย่าง บางทีเวลาร้อนเกินไป เราอาจจะรู้สึกตัวเหนียวและไม่สบายตัว จริงๆ ตัวเราไม่ได้ร้อนอะไรมากมายหรอกครับ ที่ร้อนมากคือใจของเรา มันอยากไปอยู่ที่สบายๆ มันเลยจะงอแงหน่อย ถ้าเราจับอาการมันได้ เราจะเริ่มเห็นรูปแบบ แล้วอาการที่เรารู้สึกว่า “ร้อนไป ทำงานไม่ได้” จะค่อยๆ หายไปครับ

อันนี้ยากมากครับ เพราะบางอย่างเราชินมาตลอดชีวิต มันเป็นชุดความคิดไปแล้ว เช่น ถ้าร้อนไป หนาวไป อิ่มไป หิวไป เสียงดังไป คนเยอะไป ฯลฯ เราจะทำงานไม่ได้

แต่เราลองคิดดูนะครับๆว่าปีๆนึง เราเสียเวลาที่ไม่ควรเสียไปเยอะขนาดไหนกับข้ออ้างประมาณนี้ ส่วนตัวผมรู้สึกว่ามันเยอะมากครับ

ผลกระทบกับ Super-Productive Ecosystem

  1. Active : ทำให้ Productivity เกิดขึ้นได้ทุกทีทุกเวลา แน่นอนว่าเพิ่มโอกาสในการทำสิ่งที่เราต้องการจะทำได้มากขึ้น
  2. Passive : เมื่อเราเข้าสู่โหมด My Space ได้เร็ว มันจะช่วยให้เรามีความสุขง่ายขึ้น ทุกข์น้อยลง เพราะพื้นที่นี้เป็นพื้นที่สงบ สำหรับคนส่วนใหญ่ My Space เป็นทั้งเกราะกำบังความวุ่นวายและที่ชาร์จพลังไปพร้อมๆ กัน
  3. Mindset : สถานการณ์ต่างๆ รอบตัวเรานั้นเป็นปัจจัยภายนอก แต่ปัจจัยเหล่านี้จะส่งผลต่อเราอย่างไรขึ้นอยู่กับการตอบสนองของเรา การฝึกหา My Space ในทุกสถานการณ์จะทำให้เรานิ่ง สุขุม และจะเลือกการตัดสินใจที่เป็นประโยชน์กับเรามากขึ้น

ทั้งห้าข้อนี้เป็นของสำหรับคนที่พร้อมจะ “แลก” อะไรบางอย่าง เพื่ออัพเกรดความ Super Productive ขึ้นไปอีกขั้นครับ

Advertisements

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่