ประเทศไทยต้องเผชิญกับพายุมรสุมที่ทำให้เกิดฝนตกหนักมาตลอดทั้งเดือนกันยายนที่ผ่านมา ภาพท้องฟ้าที่เคยส่องสว่างด้วยสีครามกลับถูกปกคลุมด้วยเมฆสีดำตั้งแต่เวลาบ่ายแก่ๆ เริ่มกลายเป็นภาพที่ชินตาของใครหลายคนมากขึ้นทุกที
ด้วยปริมาณของน้ำฝนที่เทลงมาตลอดทั้งเดือนนี้ทำให้เกิดผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตคนไทยในหลายจังหวัด น้ำท่วมที่เอ่อล้นเข้ามาในบ้านประชาชนจนต้องไปนั่งกินข้าวบนหลังคา แม่น้ำปิงที่เชียงใหม่มีระดับน้ำที่สูงกว่าระดับวิกฤติเกิดน้ำท่วมพื้นที่เศรษฐกิจหลายแห่ง รวมถึงน้ำท่วมหนักในกรุงเทพมหานคร จนถนนหลายสายถูกน้ำท่วมสูงการสัญจรเป็นไปด้วยความยากลำบาก รถยนต์หลายคันไม่สามารถลุยน้ำต่อไปได้ จอดเสียกลางทางจนทำให้หลายคนติดอยู่บนถนนกลับบ้านไม่ได้
ความจริงก็คือ ณ ตอนนี้โลกกำลังอยู่ในภาวะที่สภาพอากาศแปรปรวนอย่างหนัก เมื่อปีที่แล้วทวีปยุโรปก็มีฝนตกหนักเป็นประวัติศาสตร์ ในปีนี้มีพายุไต้ฝุ่นโนรูที่ทวีปเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กำลังเผชิญอยู่นี้ ก็ทวีกำลังรุนแรงได้เร็วขึ้นและจะกลายเป็นเรื่องปกติมากขึ้น เนื่องจากวิกฤตสภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง ที่ทำให้เกิดสภาพอากาศสุดขั้ว ยิ่งไปกว่านั้นมันจะทำให้การพยากรณ์อากาศว่าพายุลูกใดจะทวีความรุนแรงและสถานที่ที่จะติดตามพายุเป็นไปได้ยากมากขึ้น โดยความแปรปรวนทางอากาศทั้งหมดนี้เกิดมาจากปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่มีความร้ายแรงพอๆ กับ สภาวะโลกร้อน (El Nino) เลยทีเดียว ซึ่งปรากฏการณ์นี้มีชื่อว่า ลาณีญา (La Niña)
ทำความรู้จักกับสาวน้อย ลาณีญา (La Niña)
La Niña เป็นภาษาสเปนที่แปลตรงตัวได้ว่า “สาวน้อย” โดยลาณีญาบางครั้งเรียกว่า “เอลเบียโฮ (El Viejo)” โดยมันคือปรากฏการณ์ทางสภาพอากาศที่สามารถเกิดขึ้นได้ในมหาสมุทรแปซิฟิกทุกๆ 2-3 ปี ครั้งละประมาณ 9-12 เดือน ซึ่งปกติแล้ว ลมตามแนวเส้นศูนย์สูตรจะดันให้น้ำอุ่นไปทางทิศตะวันตก ส่งผลให้น้ำอุ่นที่ผิวมหาสมุทรพัดจากอเมริกาใต้ไปยังแถบอินโดนีเซีย และเมื่อน้ำอุ่นเคลื่อนตัวไปทางตะวันตก น้ำเย็นจากที่ลึกจะลอยขึ้นสู่ผิวน้ำแทน
ซึ่งในช่วงฤดูหนาวของปีที่เกิดปรากฏการณ์ลาณีญา กระแสลมเหล่านี้จะแรงกว่าปกติมาก ทำให้น้ำในมหาสมุทรแปซิฟิกใกล้เส้นศูนย์สูตรเย็นกว่าปกติเล็กน้อย แต่อุณหภูมิของมหาสมุทรที่ดูเหมือนจะเย็นขึ้นเพียงไม่กี่องศานี้ มันสามารถส่งผลกระทบต่อสภาพอากาศทั่วโลก รวมถึงสามารถทำให้ฝนตกหนักมากกว่าปกติเลยทีเดียว
โดยปกติแล้ว เมฆฝนมักจะก่อตัวเหนือน้ำทะเลที่มีความอบอุ่น แต่เนื่องจากว่าปรากฏการณ์ลาณีญาได้พัดน้ำอุ่นทั้งหมดไปทางทิศตะวันตกของมหาสมุทรแปซิฟิก ซึ่งหมายความว่าพื้นที่ต่างๆ อาจมีฝนตกมากกว่าปกติ เช่นแถบอินโดนีเซียและออสเตรเลีย อย่างไรก็ตาม เมื่อผิวน้ำในมหาสมุทรแปซิฟิกตะวันออกนั้นเย็นขึ้น แปลว่าเมฆฝนในแถบนั้นจะน้อยลง ดังนั้น สถานที่ต่างๆ เช่น ทางตะวันตกเฉียงใต้ของสหรัฐอเมริกาจึงมีความแห้งกว่าปกติเป็นอย่างมาก
การเปลี่ยนแปลงของชั้นบรรยากาศเหล่านี้ทำให้เกิดฟ้าผ่าเพิ่มเติมภายในอ่าวเม็กซิโกและตามแนวชายฝั่งอ่าวเม็กซิโก นอกจากนี้ สภาพแวดล้อมในช่วงลาณีญายังสามารถนำไปสู่พายุหมุนเขตร้อน ซึ่งรวมถึงพายุเฮอริเคนที่ก่อตัวในเขตร้อนชื้น จึงเป็นเหตุให้เกิดพายุไต้ฝุ่นโนรูที่ประเทศไทยกำลังเผชิญอยู่ ณ ขณะนี้นั่นเอง
ฝนตกหนักและน้ำท่วม เป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้น
แน่นอนว่าลาณีญานั้นสร้างผลกระทบให้กับชีวิตความเป็นอยู่ของชาวไทยในขณะนี้มาก แค่ประเทศไทยเองก็ไม่ใช่ประเทศเดียวที่ตกเป็นเหยื่อของลาณีญา ตั้งแต่ภาวะฝนตกหนักในอินโดนีเซียกับออสเตรเลีย น้ำท่วมร้ายแรงในปากีสถาน ไฟป่าในสหรัฐอเมริกาฝั่งตะวันตก ไปจนถึงภัยแล้งในบราซิลและอาร์เจนตินา เราสามารถสรุปได้เลยว่า ลาณีญากำลังสร้างผลกระทบที่ก่อให้เกิดความเสียหายมากมายทั่วทั้งโลก ซึ่งประกฎการณ์ลาณีญานี้ กำลังดำเนินเข้าสู่ปีที่ 3 แล้ว หลังจากเกิดขึ้นเมื่อประมาณกลางปี 2020 ที่ผ่านมา
โดยมีการรายงานจาก Bloomberg บอกว่า การที่ลาณีญายังคงเกิดขึ้นต่ออีกเป็นปีที่ 3 นั้น หมายความว่าโลกจะเกิดความเสียหายจากภัยพิบัติสภาพอากาศมูลค่า 1 ล้านล้านดอลลาร์ภายในสิ้นปี 2023 อุทกภัย ภัยแล้ง พายุ และไฟป่า จะทำลายบ้านเรือนมากขึ้น ทำลายพืชผลมากขึ้น การขนส่งสินค้าจะถูกขัดขวางจากภัยธรรมชาติมากขึ้น แหล่งพลังงานที่ขาดแคลน และที่เลวร้ายที่สุดคือ การเสียชีวิตของผู้คนมากมายนับไม่ถ้วน
โดยจากการคาดการณ์ใหม่โดยศูนย์พยากรณ์สภาพอากาศของสหรัฐอเมริกา หรือ US Climate Prediction Center โอกาสที่โลกยังจะต้องเจอกับลาณีญาต่อไปจนถึงเดือนมกราคมของปี 2023 นั้นสูงถึง 80% เลยทีเดียว
ไม่เพียงแค่นั้น เนื่องด้วยความแปรปรวนของสภาพอากาศที่คาดเดาไม่ได้นี้ ย่อมส่งผลกระทบที่สร้างความเสียหายในชีวิตความเป็นอยู่ด้านอื่นๆ ของมนุษย์ ราคาของสินค้าหลายอย่างจะเพิ่มขึ้น ตั้งแต่กาแฟหนึ่งถ้วยไปจนถึงถ่านหินที่ใช้ในการผลิตเหล็กล้วนได้รับผลกระทบจากลาณีญากันทั้งหมดเมื่อของราคาขึ้นไปมากๆ ค่าเงินก็เฟ้อตาม สร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจเป็นทอดๆ เรียกได้ว่า La Niña คือปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่มีผลกระทบทั้งในแวดวง อุตสาหกรรมและเศรษฐกิจทั่วโลกเลยทีเดียว
จนถึงตอนนี้ โลกก็ยังไม่สามารถค้นหาสาเหตุกันได้อย่างชัดเจนว่าเราจะหาทางป้องกันหรือรับมือกับลาณีญาต่อไปอย่างไร เหล่านักวิทยาศาสตร์กำลังตรวจสอบว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หรือ Climate Change นั้นมีส่วนทำให้โอกาสเกิดลาณีญาเพิ่มขึ้นหรือไม่ โดย Richard Seager ศาสตราจารย์ด้านการวิจัยที่หอดูดาว Lamont-Doherty Earth Observatory ของมหาวิทยาลัยโคลัมเบียกล่าวว่า เขาและเพื่อนร่วมงานของเขาตั้งทฤษฎีว่าการเพิ่มขึ้นของก๊าซเรือนกระจกในชั้นบรรยากาศทำให้ La Niña ขยายตัวและแข็งแกร่งมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ตอนนี้พวกเขายังไม่ต้องทำการวิจัยเพิ่มเติมอีกมากก่อนฟันธงได้ว่ามันคือส่วนหนึ่งของ Climate Change หรือไม่
แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม ตอนนี้โลกกำลังต้องการการเยียวยาอย่างแท้จริง
ที่มา:
– The World Has a $1 Trillion La Niña Problem : Brian K. Sullivan, Sybilla Gross, Bloomberg – https://bloom.bg/3rvGnmO
– Third Consecutive Year Of La Niña Phenomenon: Should We Worry? – Christopher Ramirez, Latinamericanpost – https://bit.ly/3fyOdJn
– La Niña : National Geographic – https://bit.ly/3V0Xv1i
– What are El Niño and La Niña? : NOAA – https://bit.ly/3V19ifJ
#trends
#society
#climatechange
#lanina
#missiontothemoon
#missiontothemoonpodcast