“จันทร์ถึงเสาร์ 9 โมงเช้าถึง 6 โมงเย็น”
ตารางเวลาที่คุ้นหูสำหรับคนทำงานไทยหลายล้านคน แต่รู้หรือไม่ว่าการทำงาน 6 วันต่อสัปดาห์อาจไม่ได้ช่วยให้บริษัทได้ผลงานมากขึ้นอย่างที่หลายคนเข้าใจ
ในขณะที่หลายประเทศทั่วโลกกำลังทดลองลดวันทำงานเหลือ 4 วันต่อสัปดาห์ และมีผลลัพธ์ที่น่าประหลาดใจคือพนักงานมีประสิทธิภาพสูงขึ้น แต่ในไทยกลับมีหลายบริษัทที่ยังคงยึดติดกับการทำงาน 6 วัน ด้วยเหตุผลที่ว่า “ยิ่งทำมาก ยิ่งได้มาก” แต่งานวิจัยล่าสุดกลับชี้ให้เห็นว่า ความเชื่อนี้อาจไม่ถูกต้องอีกต่อไป
กฎหมายคุ้มครองแรงงานไทยมุ่งควบคุมเพียงจำนวนชั่วโมงการทำงาน โดยกำหนดให้ทำงานไม่เกิน 48 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ แต่ไม่ได้ระบุจำนวนวันทำงานที่ชัดเจน ทำให้นายจ้างสามารถเลือกกระจายชั่วโมงทำงานเป็น 6 วันได้ ซึ่งหลายบริษัทมองว่าการทำงาน 6 วัน วันละ 8 ชั่วโมง จะช่วยให้ธุรกิจเติบโตได้เร็วกว่า
แต่งานวิจัยที่ผ่านมากลับชี้ให้เห็นว่า ความเชื่อนี้กำลังสร้างความเสียหายให้กับทั้งองค์กรและพนักงาน
งานวิจัยเผย: ยิ่งทำมาก ไม่ได้หมายถึงยิ่งได้มาก
ผลการศึกษาจาก Institute of Labor Economics ที่ศึกษาพนักงานคอลเซ็นเตอร์ในเนเธอร์แลนด์ จำนวน 332 คน เก็บข้อมูลระหว่างกลางปี 2008 ถึงต้นปี 2010 เพื่อวัดประสิทธิภาพจากเวลาเฉลี่ยในการรับสายต่อครั้ง (Average Handling Time)
ซึ่งจากการวิจัยในครั้งนั้นก็ทำให้พบข้อมูลที่น่าตกใจ คือการเพิ่มชั่วโมงทำงาน 1% กลับทำให้ผลผลิตเพิ่มขึ้นเพียง 0.9% เท่านั้น ตัวเลขนี้อาจดูไม่แตกต่างกันมาก แต่เมื่อคิดเป็นชั่วโมงการทำงานทั้งปี นั่นหมายความว่าองค์กรกำลังสูญเสียประสิทธิภาพการทำงานไปอย่างมหาศาล โดยเฉพาะในกลุ่มพนักงานที่มีอายุงานน้อยกว่า 1 ปี ที่ผลกระทบยิ่งชัดเจน
ดังนั้นจึงสามารถสรุปได้ว่า “การทำงานหนักเกินไปส่งผลเสียต่อประสิทธิภาพ โดยเฉพาะในพนักงานใหม่” องค์กรควรจัดการเวลาทำงานให้เหมาะสม เพื่อรักษาทั้งประสิทธิภาพและคุณภาพการทำงาน ซึ่งงานวิจัยนี้ก็เหมาะสำหรับใช้เป็นข้อมูลในการกำหนดนโยบายเวลาทำงานสำหรับงานบริการที่ต้องใช้ทักษะระดับกลางอีกด้วย
ทำไมการทำงาน 6 วันถึงไม่ใช่คำตอบที่ดีอีกต่อไป?
นักวิจัยวิเคราะห์และพบว่า ระบบการทำงาน 6 วันกำลังสร้างปัญหาให้กับทั้งองค์กรและพนักงาน โดยเฉพาะเรื่องความเหนื่อยล้าสะสม ร่างกายและสมองของมนุษย์ไม่ได้ถูกออกแบบมาให้ทำงานหนักติดต่อกันยาวนาน การที่ต้องตื่นเช้าไปทำงาน 6 วันต่อสัปดาห์ ทำให้พนักงานไม่มีเวลาพักผ่อนที่เพียงพอ เกิดความเครียดสะสมจากการเดินทาง คุณภาพการนอนแย่ลง และเสี่ยงต่อภาวะหมดไฟ (Burnout) ในระยะยาว
ที่น่าตกใจคือ งานวิจัยพบว่าในวันทำงานที่ 6 พนักงานจะมีสมาธิในการทำงานลดลงถึง 20% การตัดสินใจช้าลงและผิดพลาดมากขึ้น ใช้เวลานานขึ้นในการทำงานชิ้นเดียวกัน และความคิดสร้างสรรค์ลดลงอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งสิ่งเหล่านี้ส่งผลโดยตรงต่อประสิทธิภาพการทำงานโดยรวม
ผลกระทบไม่ได้จบแค่ตัวพนักงาน แต่ยังกระทบองค์กรในระยะยาว เราเริ่มเห็นอัตราการลาออกที่สูงขึ้นโดยเฉพาะในกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ให้ความสำคัญกับ Work-life Balance ต้นทุนการจ้างงานเพิ่มขึ้นจากการจ่ายค่าล่วงเวลา ภาพลักษณ์องค์กรในสายตาคนรุ่นใหม่แย่ลง และที่สำคัญคือความผูกพันของพนักงานต่อองค์กรลดลงอย่างมีนัยสำคัญ
นอกจากนี้ การทำงาน 6 วันยังสร้างปัญหาที่มองไม่เห็นอีกมากมาย เช่น ความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนร่วมงานที่แย่ลงเพราะทุกคนเหนื่อยล้าเกินกว่าจะมีพลังเชื่อมต่อกัน บรรยากาศการทำงานที่ตึงเครียดเพราะทุกคนพยายามเร่งงานให้เสร็จเพื่อจะได้กลับบ้านเร็ว หรือแม้แต่การสูญเสียโอกาสทางธุรกิจเพราะพนักงานไม่มีเวลาและพลังที่จะคิดนวัตกรรมหรือโซลูชั่นใหม่ๆ ให้กับองค์กร สิ่งเหล่านี้อาจไม่สามารถวัดเป็นตัวเลขได้ชัดเจน แต่กำลังกัดกินความสามารถในการแข่งขันขององค์กรอย่างช้าๆ
แล้วทางออกที่ดีกว่าคืออะไร?
จากกรณีศึกษาของบริษัทชั้นนำทั่วโลกที่ประสบความสำเร็จในการปรับระบบการทำงาน ทางเลือกแรกที่น่าสนใจคือการลดวันทำงานเหลือ 5 วัน ซึ่งช่วยให้พนักงานมีเวลาพักผ่อนเพียงพอ ลดความเหนื่อยล้าสะสม และส่งผลให้ประสิทธิภาพในวันทำงานสูงขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยดึงดูดคนรุ่นใหม่ที่มองหาองค์กรที่ใส่ใจคุณภาพชีวิตของพนักงาน
อีกทางเลือกที่กำลังได้รับความนิยมคือการปรับใช้ระบบเวลาทำงานแบบยืดหยุ่น (Flexible Hours) ให้พนักงานสามารถเลือกเวลาเข้า-ออกงานได้ ผสมผสานกับการ Work from Home หรือแม้แต่การทำงานเป็นช่วงเวลา (Split Shift) ตามความเหมาะสมของแต่ละแผนก
สำหรับองค์กรที่พร้อมจะก้าวไกลกว่านั้น การทดลองระบบ 4 วันทำงาน 3 วันหยุด กำลังเป็นเทรนด์ที่น่าจับตามอง หลายบริษัทที่ทดลองใช้ระบบนี้รายงานว่าประสิทธิภาพการทำงานโดยรวมไม่ได้ลดลง ในทางกลับกันพนักงานกลับทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เพราะมีเวลาพักผ่อนที่เพียงพอและรู้สึกมีแรงจูงใจในการทำงานมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงรูปแบบการทำงานในองค์กรไม่ใช่เรื่องที่จะเกิดขึ้นได้ในชั่วข้ามคืน องค์กรจำเป็นต้องวางแผนอย่างรอบคอบ ทั้งการปรับโครงสร้างการทำงาน การวัดผลงานรูปแบบใหม่ และการเตรียมความพร้อมของพนักงาน หลายบริษัทเลือกที่จะเริ่มจากการทดลองในบางแผนกก่อน เพื่อเก็บข้อมูลและปรับปรุงระบบให้เหมาะสมกับบริบทขององค์กร
ในท้ายที่สุด สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการเปิดใจยอมรับว่าโลกของการทำงานกำลังเปลี่ยนแปลง การยึดติดกับระบบ 6 วันทำงานแบบเดิมๆ อาจทำให้องค์กรสูญเสียความสามารถในการแข่งขันไปในระยะยาว ถึงเวลาแล้วที่ผู้บริหารต้องกล้าที่จะปรับเปลี่ยน เพื่อสร้างสมดุลระหว่างประสิทธิภาพการทำงานและคุณภาพชีวิตของพนักงาน ซึ่งจะเป็นกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จที่ยั่งยืนขององค์กรในอนาคต
ถึงเวลาแล้วหรือยังที่องค์กรไทยจะเริ่มมองหาทางเลือกใหม่? เพราะในโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว การยึดติดกับระบบเก่าๆ อาจทำให้องค์กรสูญเสียทั้งประสิทธิภาพและบุคลากรที่มีคุณภาพไปในระยะยาว
อ้างอิง
– Is Working Overtime Good for Business? The Effects of Long Hours on Productivity: Tom Elliott: Teamly – https://bit.ly/48wckjr
– Working Hours and Productivity: Marion Collewet & Jan Sauermann: IZA DP No. 10722 – https://bit.ly/40rOZxm
– Report: Long Work Hours Lead to Burnout, Not Productivity: Kathy Gurchiek, SHRM – https://bit.ly/3YNR31k
#การทำงาน
#trend
#missiontothemoon
#missiontothemoonpodcast