อุบัติเหตุที่นำมาซึ่งโศกนาฏกรรม และก่อให้เกิดความสูญเสียครั้งใหญ่ในชีวิตของใครหลายคน กำลังกลายเป็นประเด็นที่สังคมกำลังให้ความสนใจในตอนนี้ หลังจากที่เกิดเหตุ #ไฟไหม้รถบัส จนแฮชแท็กนี้ติดเทรนด์อันดับ 1 ในแอปพลิเคชัน X ประชาชนต่างก็ติดตามอัปเดตข่าวสารของเหตุการณ์ดังกล่าวอย่างใกล้ชิด
เหตุการณ์สะเทือนขวัญไม่ได้มีแค่อุบัติเหตุเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงเหตุการณ์ที่ก่อให้เกิดความเสียหายทางร่างกาย อารมณ์ หรือจิตใจของทุกฝ่ายที่เป็นผู้สูญเสีย เท่านั้นยังไม่พอผู้สูญเสียอาจรู้สึกถูกความกลัว ความเศร้า และความวิตกกังวลกับเหตุการณ์สูญเสียคุกคามทางร่างกายและจิตใจ จนกลายเป็น ‘ความทุกข์’ ที่ไม่อาจประเมินค่าได้
ในฐานะประชาชนผู้รับรู้ข่าวสารจากอินเทอร์เน็ต สิ่งที่ทำได้มากที่สุดก็คงจะเป็นร่วมแสดงความเสียใจต่อความสูญเสียที่เกิดขึ้น และถอดบทเรียนจากเหตุการณ์นี้เพื่อป้องกันการสูญเสียที่อาจเกิดขึ้นอีกในอนาคต แต่ถ้าคนใกล้ตัวของเรา เช่น ครอบครัว ญาติ เพื่อนฝูง หรือคนคุ้นเคยที่เพิ่งผ่านเหตุการณ์สะเทือนขวัญ หรือการสูญเสียครั้งใหญ่มา เราจะสามารถช่วยเหลือพวกเขาได้อย่างไรบ้าง?
การปลอบใจแบบไหนที่ไม่ควรทำ?
เมื่อต้องเผชิญกับการสูญเสียที่กระทบกับจิตใจ ผู้คนจะมีการตอบสนองต่อความสูญเสียนั้นหลากหลายรูปแบบ เช่น บางคนอาจมีอาการของภาวะซึมเศร้า บางคนอาจประสบปัญหาในการนอน เพราะฝันร้ายถึงเหตุการณ์นั้น บางคนดูเหมือนจะรับมือกับความสูญเสียได้ ดำเนินกิจวัตรประจำวันอย่างปกติ แต่ความเสียใจจะย้อนกลับมาทุกครั้งเมื่อถึงวันครบรอบเหตุการณ์นั้น
นั่นทำให้พวกเขามีแนวทางการตอบสนองต่อคำปลอบใจของคนรอบข้างในแบบที่ต่างกันไปด้วย แม้แต่คำที่เราใช้กันทั่วไปอย่างเช่น “ไม่เป็นไรนะ” “ไม่ต้องร้องไห้” “ฉันเข้าใจเธอดี” หรือ “เขาไปดีแล้ว” ก็อาจจะกลายเป็นมีดที่กรีดซ้ำลงไปกลางใจของผู้สูญเสียบางคนได้ นอกจากนี้ยังมีอีกหลายอย่างที่หลายคนเข้าใจว่าเป็นการแสดงการปลอบใจฝ่ายที่สูญเสีย แต่ที่จริงแล้วเราไม่ควรทำ เช่น
[ ] ไม่ควรถามถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
หลายคนเข้าใจว่าการพูดคุยจะช่วยบรรเทาความเสียใจและความทุกข์ใจของผู้สูญเสียได้เป็นอย่างดี แต่ในบางสถานการณ์ การพูดคุยถึงเหตุการณ์การสูญเสียอาจเป็นเหมือนกับการฉายภาพซ้ำอีกครั้ง ซึ่งทำให้ผู้สูญเสียต้องเจอกับภาพความเจ็บปวดซ้ำแล้วซ้ำเล่า ดังนั้นเราจึงควรหลีกเลี่ยงคำถามบางอย่าง เช่น รู้สึกอย่างไร? เป็นอย่างไรบ้าง? รวมถึงไม่ควรที่จะพยายามกดดันให้อีกฝ่ายเล่า หรือระบายออกมา ในตอนที่ผู้สูญเสียยังไม่พร้อมที่จะเผชิญกับความทุกข์ซ้ำอีกครั้งหนึ่งเช่นกัน
[ ] ไม่ควรใช้คำปลอบใจทั่วไป เช่น เดี๋ยวมันก็จะดีขึ้น หรือฟ้าหลังฝนสวยงามเสมอ ฯลฯ
ยิ่งเป็นการสูญเสียที่รุนแรงและสะเทือนขวัญ ยิ่งไม่ควรใช้คำปลอบใจเชิงบวกที่ใช้กันทั่วไป เช่น ลองมองในแง่ดีสิ เดี๋ยวมันก็จะดีขึ้นเอง เวลาจะเยียวยาทุกสิ่ง หรือฟ้าหลังฝนสวยงามเสมอกับผู้ที่สูญเสีย เพราะมันคือการลดทอนความรุนแรงของเหตุการณ์โศกนาฏกรรม และความรู้สึกที่เกิดขึ้นกับตัวผู้สูญเสีย
[ ] ไม่ควรตัดสินความรู้สึก หรือการกระทำของผู้สูญเสีย
อย่างที่บอกว่าคนเรามีการตอบสนองแต่ความสูญเสียไม่เหมือนกัน บางคนอาจมีภาระหน้าที่สำคัญบางอย่างที่ไม่สามารถทิ้งไปได้ แม้จะเพิ่งเผชิญกับเหตุการณ์สะเทือนใจมา ยิ่งไปกว่านั้นการที่ผู้สูญเสียไม่ได้แสดงความเศร้าเสียใจออกมาให้คนใกล้ตัวได้เห็น อาจจะเป็นสัญญาณของการปฏิเสธความจริงที่เกิดขึ้นก็ได้เช่นกัน ซึ่งนั่นไม่ได้แปลว่าพวกเขาเจ็บปวดน้อยกว่าคนอื่นเลย
[ ] ไม่ควรคาดหวังว่าผู้สูญเสียจะสามารถเยียวยาความเจ็บปวดได้ในระยะเวลาอันสั้น
บางครั้งผู้คนก็ทำใจกับการสูญเสียล่วงหน้าแล้ว แต่บางคนไม่สามารถทำใจกับการสูญเสียได้จริงๆ ประสบการณ์ที่ต่างกันอาจทำให้บางคนเยียวยาความเจ็บปวดได้ในเวลาไม่นาน ในขณะที่บางคนใช้เวลาเป็นปี หรืออาจต้องใช้เวลาทั้งชีวิต เราที่เป็นคนใกล้ตัวจึงไม่ควรพยายาม หรือเข้าไปเร่งให้ผู้สูญเสียก้าวข้ามความเจ็บปวดไปให้ได้
แล้วมีอะไรบ้างที่เราสามารถทำเพื่อพยุงใจของผู้สูญเสียที่เป็นคนสำคัญในชีวิตของเราได้?
‘ใจเขาใจเรา’ คติที่ช่วยให้เราเข้าใจความเจ็บปวดของคนอื่นได้ดีขึ้น
เป็นเรื่องปกติที่มนุษย์จะแสดงความสนับสนุนทางใจกับผู้คนรอบข้างด้วยวิธีต่างๆ เท่าที่จะทำได้ บางคนพูดปลอบใจ บางคนพูดไม่เก่งก็เลือกที่จะเสียสละเวลาส่วนตัวเพื่อมาอยู่เป็นเพื่อน ส่วนคนที่ไม่ได้สนิทกันมากนักก็มักจะร่วมแสดงความเสียใจผ่านช่องทางสื่อสารที่ตัวเองสามารถส่งความรู้สึกไปถึงผู้สูญเสียได้
อย่างไรก็ตาม การยึดถือคติ ‘ใจเขาใจเรา’ ก็ยังเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้เราเข้าใจความรู้สึกของผู้อื่นได้มากขึ้น และนอกเหนือจากการเป็นผู้รับฟังที่ดีให้กับผู้สูญเสียแล้ว ยังมีอีกหลายอย่างที่เราสามารถแสดงความเห็นอกเห็นใจ และช่วยเหลือผู้สูญเสียได้ดังนี้
[ ] แสดงให้เห็นว่าเราพร้อมที่จะอยู่เคียงข้าง
ความเจ็บปวดที่เกิดจากการสูญเสียอาจทำให้ใครบางคนต้องการความช่วยเหลือ ต้องการที่พึ่งทางใจ หรือต้องการใครสักคนที่อยู่ข้างกัน แม้ว่าในบางครั้งการที่เราแสดงให้เขาเห็นว่าเราพร้อมที่จะอยู่เคียงข้างจะไม่ได้ช่วยให้ความเจ็บปวดนั้นน้อยลง แต่อย่างน้อยก็ช่วยให้ผู้สูญเสียรู้สึกอุ่นใจมากขึ้น และรู้ว่าเขาไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว
[ ] เสนอความช่วยเหลือในทางปฏิบัติ
เหตุการณ์สะเทือนใจนำมาซึ่งความเจ็บปวด และภาระหน้าที่ที่ต้องจัดการมากมาย ในภาวะที่ใจเปราะบางอย่างนี้ ผู้สูญเสียอาจมีความสามารถในการดูแลจัดการเรื่องราวต่างๆ รอบตัวได้น้อยลง ดังนั้นนอกจากการสนับสนุนทางด้านอารมณ์และจิตใจแล้ว เรายังช่วยเหลือผู้สูญเสียในทางปฏิบัติได้อีกด้วย เช่น ช่วยหาข้าวปลาอาหาร ช่วยดูแลสวนหน้าบ้าน ช่วยขับรถไปรับไปส่ง หรือช่วยดูแลคนในครอบครัวของผู้สูญเสีย เป็นต้น
การแสดงความเสียใจร่วมกับผู้สูญเสียเป็นพิธีกรรมที่ยึดโยงสังคมของมนุษย์เข้าไว้ด้วยกัน อย่างไรก็ตามความทุกข์และความเจ็บปวดเป็นความรู้สึกที่ไม่มีรูปรสกลิ่นเสียง มีเพียงแต่อิทธิพลที่สามารถกระทบกับจิตใจ และจิตวิญญาณของผู้สูญเสีย รวมถึงผู้ที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์สะเทือนใจโดยตรงได้
ดังนั้นเราจึงไม่สามารถที่จะมองข้ามความรู้สึกและความเจ็บปวดที่ผู้สูญเสีย หรือผู้ที่เกี่ยวข้องได้ ยิ่งเป็นคนใกล้ตัวของเราเองแล้ว ยิ่งต้องคำนึงถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับผู้สูญเสียและผู้ที่เกี่ยวข้องทุกฝ่าย ไม่ว่าเหตุการณ์สูญเสียนั้นจะเป็นอะไรก็ตาม
อ้างอิง
– Trauma – helping family or friends : Better Health – https://bit.ly/4dumxxC
– Traumatic Events : Healthline – https://bit.ly/3BsgSeh
#trend
#missiontothemoon
#missiontothemoonpodcast