ในเวลาเพียงแค่ครึ่งปีที่ผ่านมา ประเทศไทยได้เห็นกระแสที่ร้อนแรงและเป็นไวรัลไปทั่วอินเทอร์เน็ต ทั้งจากมาสคอตไอดอลอย่าง ‘หมีเนย’ มาสคอตหมีสุดน่ารักประจำแบรนด์ร้านขนม Butterbear และจากเหล่าสัตว์เซเลบริตีชื่อดังของสวนสัตว์ทั่วประเทศไทย เช่น หมูเด้ง และเอวา
กระแสความนิยมปลุกให้คนไทยจากทั่วสารทิศเดินทางเพื่อไปชมความน่ารักด้วยตาตัวเอง เท่านั้นยังไม่พอ ความน่าเอ็นดูของมาสคอต และสัตว์เซเลบริตีเหล่านี้ยังดังไกลจนเป็นที่กล่าวถึงในกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติอีกด้วย
นี่จึงกลายเป็นโอกาสดีสำหรับองค์กร และหน่วยงานต่างๆ ที่จะใช้ความนิยมจากเซเลบริตีสัตว์น้อยที่น่ารักเหล่านี้เป็นกำลังสำคัญ ในการดึงดูดความสนใจจากผู้คนทั่วทุกมุมโลก และเพิ่มนักท่องเที่ยว รวมถึงสร้างรายได้ให้กับประเทศไทย
ยิ่งไปกว่านั้น ปรากฏการณ์ความนิยมสัตว์น้อยเหล่านี้ยังอาจนำไปสู่กลยุทธ์การตลาดแบบ ‘Soft Power’ ให้กับประเทศไทยอีกด้วย
สำรวจปรากฏการณ์ ‘มาสคอต’ และ ‘ดาวสวนสัตว์’ ในฐานะ ‘ตัวแทนความสุข’ ของเมืองไทย
ถึงแม้ว่า Butterbear หรือ ‘หมีเนย’ จะเป็นเพียงมาสคอตและไม่ใช่หมีจริง แต่ทั้ง ‘หมีเนย’ และ ‘หมูเด้ง’ ต่างก็ถูกรับรู้ว่าเป็นตัวแทนที่สร้างความสุขให้กับใครหลายคนในช่วงเวลาที่ผ่านมา โดยเฉพาะหมูเด้งที่เป็นลูกฮิปโปโปเตมัสแคระตัวใหม่ของสวนสัตว์เปิดเขาเขียว ในจังหวัดชลบุรีที่สร้างรายได้ถล่มทลายให้กับสวนสัตว์ รวมถึงธุรกิจอื่นๆ อีกมากมาย
นายณรงวิทย์ ชดช้อย ผู้อำนวยการสวนสัตว์เปิดเขาเขียวกล่าวว่า ก่อนที่หมูเด้งจะเกิดสวนสัตว์เปิดเขาเขียวมีนักท่องเที่ยวอยู่ที่ประมาณเดือนละ 70,000 คน แต่หลังจากที่หมูเด้งเกิดและกลายเป็นไวรัลบนโลกอินเทอร์เน็ต นักท่องเที่ยวก็หลั่งไหลเข้ามามากขึ้นเท่าตัว โดยในเดือนกันยายนที่ผ่านมามีนักท่องเที่ยวมากถึง 162,000 คน
เท่านั้นยังไม่พอ หมูเด้งที่ปรากฏตามผลิตภัณฑ์ หรือโฆษณาต่างๆ ยังช่วยเพิ่มยอดการเข้าถึงและยอดขายให้กับธุรกิจเหล่านั้นได้ด้วย ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า กระเป๋า เคสมือถือ สติกเกอร์ไลน์ หรือแม้แต่เครื่องสำอางที่ช่วยเติมสีสันให้คล้ายกับแก้มของหมูเด้งก็ยังได้รับความนิยมไปด้วย เช่นกันกับ Butterbear หรือหมีเนยที่แม้จะเป็นมาสคอตของร้านขนม แต่สินค้าอื่นๆ เช่น พวงกุญแจ หรือเครื่องประดับก็ขายดีไม่แพ้กัน
เห็นได้ชัดว่าทั้งมาสคอต Butterbear และดาวประจำสวนสัตว์เปิดเขาเขียวอย่าง ‘หมูเด้ง’ ได้กลายเป็นขวัญใจของคนไทยไปแล้ว ไม่เพียงเท่านั้น ทั้งสองสาวยังเป็นที่รู้จักและถูกกล่าวถึงเป็นวงกว้างในกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติอีกด้วย
มาสคอต Butterbear และร้านขนม Butterbear ได้รับความนิยมมากในหมู่นักท่องเที่ยวชาวจีน รวมถึงตอนนี้ก็ยังมีแคมเปญของหน่วยงานไทยหลายตัวที่มาสคอต Butterbear ได้เป็นพรีเซนเตอร์หลัก ส่วนหมูเด้งที่อาจเรียกได้ว่าเป็นดาวรุ่นน้องหน้าใหม่ยิ่งได้รับความนิยมในระดับโลก และสร้างปรากฏการณ์ใหม่ให้กับสวนสัตว์เปิดเขาเขียวเลยทีเดียว
ต้องยอมรับว่าสถานการณ์ในตอนนี้กำลังคึกคักไปด้วยคอนเทนต์ที่สร้างความสุขให้กับผู้คน ไม่ว่าจะเป็นคลิปของมาสคอต Butterbear คลิปของลูกฮิปโปแคระหมูเด้ง และดาวดวงใหม่อย่างเสือโคร่งสีทองตาหวานจากเชียงใหม่ไนท์ซาฟารีที่ชื่อ ‘เอวา’ ก็กำลังโด่งดังตามรุ่นพี่มาติดๆ
จนหลายคนตั้งคำถามว่าหรือนี่จะเป็น ‘ปีทอง’ ของ Soft Power ประเทศไทย?
ดันเหล่าสัตว์น้อยเป็น ‘Soft Power’ กระตุ้นนักท่องเที่ยวให้สวนสัตว์ไทย
หลังจากที่มาสคอตหมีเนยของ Butterbear และหมูเด้งจากสวนสัตว์เปิดเขาเขียวได้สร้างปรากฏการณ์ให้กับโลกอินเทอร์เน็ตไปแล้ว เชียงใหม่ไนท์ซาฟารีก็เปิดตัว ‘เอาวา’ เสือโคร่งสีทองที่มีตาหวาน จนชาวเน็ตพากันเรียกว่า ‘เสือวอนยอง’ ตามชื่อของไอดอลเกาหลีที่มีตาหวานน่ารักไม่แพ้กัน
เมื่อคนเริ่มรู้จัก ‘หมีเนย Butterbear’ ‘หมูเด้ง’ และ ‘เอวา’ มากขึ้น หลายๆ คนก็คงหวังว่าเราจะสามารถต่อยอดอะไรบางอย่างจากชื่อเสียงของตัวแทนความสุขสี่ขาเหล่านี้ได้บ้าง แต่ก่อนอื่นเราก็ต้องทำความเข้าใจ และศึกษาประเด็นเหล่านี้ให้ถี่ถ้วนก่อนด้วยเช่นกัน
[ ] ประเด็นเรื่องลิขสิทธิ์และทรัพย์สินทางปัญญา
เมื่อมีการสร้างสรรค์ผลงาน หรือผลิตภัณฑ์อะไรก็ตามขึ้นมา เช่น มาสคอต หรือสินค้า ประเด็นเรื่องลิขสิทธิ์ หรือการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาตามกฎหมายเป็นสิ่งที่สำคัญ แต่ยังมีคนไทยบางส่วนไม่เข้าใจเรื่องนี้อย่างถ่องแท้
ก่อนหน้านี้ในโลกออนไลน์ได้มีการถกเถียงกันอย่างแพร่หลาย ถึงประเด็นที่มีบางธุรกิจอื่นหรือแบรนด์อื่น “ที่ไม่ใช่เจ้าของลิขสิทธิ์ นำคาแรกเตอร์ของทั้งสองไปรวมอยู่ในสินค้าของตัวเอง ในกรณีของมาสคอต Butterbear เห็นได้ชัดเจนว่าเป็นการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา เพราะ ‘มาสคอต’ ถือเป็นทรัพย์สินทางปัญญาที่ได้รับการคุ้มครองทางกฎหมาย ดังนั้นจะลอกเลียนแบบ หรือดัดแปลงไม่ได้
แต่ในกรณีของ ‘ลูกฮิปโปโปเตมัสแคระ’ ที่ชื่อว่าหมูเด้งนั้น จะเห็นได้ว่ามีหลายธุรกิจนำคาแรกเตอร์ของหมูเด้งไปสร้างเป็นสินค้า ซึ่งไม่นับว่าเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์แต่อย่างใด เพราะหมูเด้งเป็น ‘สัตว์’ จึงเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ไม่ได้ และไม่ใช่ ‘งานสร้างสรรค์’ ที่จะได้รับการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาด้วย
อย่างไรก็ตาม กรมทรัพย์สินทางปัญญา (DIP) กล่าวว่า ‘งานสร้างสรรค์’ ใดก็ตามที่สร้างจากหมูเด้ง ไม่ว่าจะเป็นรูปถ่าย รูปวาด บทความ คลิปวิดีโอ หรือคอนเทนต์ที่บุคคลใดสร้างขึ้นจะถือว่าเป็นทรัพย์สินทางปัญญาที่ได้รับการคุ้มครองทางกฎหมายทันที ซึ่งจะคัดลอก ทำซ้ำ หรือดัดแปลงผลงานเหล่านั้นไม่ได้
สุดท้ายแล้ว เมื่อช่องว่างหรือข้อกำหนดของกฎหมาลิขสิทธิ์แตกต่างกัน เราจึงควรทำความเข้าใจก่อนที่จะนำคาแรกเตอร์ไปใช้ในการสร้างสรรค์ผลงาน เพื่อป้องกันไม่ให้ไอเดีย และโอกาสในการสร้างรายได้ของเรากลายเป็นการละเมิดสิขสิทธิ์ของผู้อื่นได้
[ ] Soft Power ไม่ใช่แค่ มาสคอต หรือดาวสวนสัตว์ แต่เป็น ‘คุณค่าทางสังคม’
Soft Power ที่เราได้ยินกันทุกวันนี้ไม่ใช่แค่สินค้า มาสคอต หรือลูกสัตว์จากสวนสัตว์ แต่มันคือการวางแผนอย่างมีกลยุทธ์ในการโน้มน้าวด้วยวัฒนธรรม ดังนั้นถ้าเราต้องการสร้าง Soft Power ซึ่งเป็นตัวแทนประเทศไทยจากสัตว์น้อยเหล่านี้ เราก็ต้องวางแผนด้วยว่าเราจะสอดแทรก ‘วัฒนธรรมแบบไทย’ เข้าไปในนั้นอย่างไร
มาสคอต Butterbear และหมูเด้งมีจุดที่คล้ายกันอยู่ซึ่งนั่นก็คือ ‘ไลฟ์สไตล์’ โดยมาสคอต Butterbear มีคาแรกเตอร์คล้ายกับเด็กผู้หญิงวัยสามขวบ ที่สดใส อารมณ์ดี ชอบร้องเพลง ชอบเต้น ชอบกิน ชอบนอน และสร้างรอยยิ้มให้กับเด็กๆ และผู้คนด้วยของอร่อย ส่วนหมูเด้งก็คล้ายกันตรงที่ชอบกิน ชอบนอน และคอนเทนต์ของผู้ดูแลสัตว์ก็สร้างความสุขให้กับผู้คนเข่นกัน
ซึ่งนอกจากภาพลักษณ์และรูปร่างหน้าตาจะน่ารักน่าเอ็นดูแล้ว ไลฟ์สไตล์และคาแรกเตอร์แบบนี้ก็คล้ายคลึงกับไลฟ์สไตล์ของคนไทยบางส่วนด้วย ทำให้เรารู้สึกเชื่อมโยงกับมาสคอต Butterbear และหมูเด้งได้ง่าย
[ ] สร้างโอกาสด้วยความสม่ำเสมอ
ต้องยอมรับว่าสมัยนี้กระแสบนโลกออนไลน์เป็นสิ่งที่มาไวไปไว แม้ว่าก่อนหน้านี้เทรนด์อันดับ 1 จะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม แต่ถ้าชาวเน็ตเลิกพูดถึง กระแสหรือความนิยมนั้นก็ตกฮวบลงได้ง่ายๆ ไวรัลและความนิยมของทั้ง ‘หมีเนย’ และ ‘หมูเด้ง’ เองก็เช่นกัน
จุดเริ่มต้นของมาสคอต Butterbear และหมูเด้งมีคนสนใจเพียงหยิบมือเท่านั้น แต่ด้วยความตั้งใจของเจ้าของแบรนด์ และทีมงานของมาสคอต Butterbear รวมถึง ‘เบนซ์’ ผู้ดูแลสัตว์ซึ่งเป็นพี่เลี้ยงของหมูเด้งที่อยากนำเสนอความน่ารักของลูกฮิปโปแคระตัวนี้ ผสานเข้ากับความสม่ำเสมอในการผลิตเผยแพร่คอนเทนต์เป็นเวลานาน และเทคโนโลยีที่ช่วยให้ผู้คนรู้จักหมูเด้งได้เร็วยิ่งขึ้นทำให้กลายเป็นไวรัลไปทั่วโลก
อย่างไรก็ตาม กระแสอยู่ไม่นาน และแม้แต่ตำนานก็อาจไม่ได้ถูกกล่าวถึงตลอดไป ถ้าอยากดันให้มาสคอตและดาวสวนสัตว์เหล่านี้กลายเป็นหนึ่งใน Soft Power ที่สร้างประโยชน์ให้กับประเทศไทย ทั้งองค์กร หน่วยงาน หรือภาคธุรกิจที่เกี่ยวข้องก็จำเป็นที่จะต้องทุ่มเททั้งแรงกาย แรงใจ และแรงทุนตั้งแต่ขั้นแรกของการวางแผนด้วยเช่นกัน
ในแง่ของความคิดสร้างสรรค์ก็ต้องยอมรับว่าคนไทยสร้างสรรค์ไม่แพ้ชาติใดในโลก และชาวต่างชาติเองก็พร้อมที่จะสนับสนุน แต่การสร้าง Soft Power นั้นจำเป็นที่จะต้องมีการหารือ วางแผนกลยุทธ์ และเงินทุนเป็นจำนวนมากพอสมควร
อย่างไรก็ตาม ถ้าเราสามารถปูพื้นฐานและวางโครงสร้างที่แข็งแรงให้กับความคิดสร้างสรรค์ รวมถึงเสริมกลยุทธ์การตลาดอย่างมีชั้นเชิงได้เมื่อไร ทั้งมาสคอต Butterbear หมูเด้ง เอวา รวมถึงมาสคอตหน้าใหม่ และดาวสวนสัตว์ดวงต่อไปก็จะไม่มีวันกลายเป็นแค่ไวรัลที่มีกระแสเพียงชั่วครู่อย่างแน่นอน
อ้างอิง
– หมูเด้ง สู่ เอวา กับ กลยุทธ์ปั้น สัตว์เซเลบริตี้ เพิ่มมูลค่าธุรกิจ : ก่อกิจ เกตุบรรเทิง, Amarin – https://bit.ly/3ZqZ6Si
– กระแส “หมูเด้ง” ซอฟต์พาวเวอร์ต่อยอดธุรกิจ : ThaiPBS – https://bit.ly/3OtxjdG
– ‘น้องหมีเนย’ ไอดอลที่สม่ำเสมอ กับความสำเร็จที่ผู้ประกอบการอื่น ๆ นำไปใช้ได้ : มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ – https://bit.ly/3ZnXg4t
– หมูเด้งฟีเวอร์! ฮิปโปน้อย Soft Power ไทย ดึงดูดนักท่องเที่ยวทั่วโลก : อมรินทร์ทีวีออนไลน์ – https://bit.ly/4i15ZAZ
#trend
#missiontothemoon
#missiontothemoonpodcast