หากพูดถึงคำว่า “โซเชียลมีเดีย” เชื่อว่าหลายคนมองสิ่งนี้ในด้านลบ โดยเฉพาะพ่อแม่ผู้ปกครองที่เชื่อว่าโซเชียลมีเดียอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพจิตของลูกๆ
อันที่จริงมีงานวิจัยของ Meta ที่พบว่า Instagram ทำให้วัยรุ่นหญิง 1 ใน 3 รู้สึกแย่กับรูปร่างของตัวเอง ขณะเดียวกัน Snapchat ก็ถูกฟ้องหลายครั้งจากการไม่จัดการปัญหาการกลั่นแกล้งออนไลน์อย่างจริงจัง ที่ผ่านมาแพทย์และผู้เชี่ยวชาญหลายคนก็ออกมาเตือนถึงความเสี่ยงของการใช้โซเชียลมีเดียในเด็กและวัยรุ่น
ทั้งหมดนี้จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ผู้ปกครองจะกังวลเกี่ยวกับผลกระทบของโซเชียลมีเดียต่อสุขภาพจิตของเด็กและวัยรุ่นมากขึ้น
โซเชียลมีเดียกับวัยรุ่น
ล่าสุดมีผลสำรวจพบว่า เกือบครึ่งหนึ่งของวัยรุ่นอเมริกันมองว่าโซเชียลมีเดียส่งผลเสียต่อคนวัยเดียวกัน และตัวเองกำลังพยายามลดการใช้โซเชียลมีเดียอยู่
ข้อมูลนี้มาจากรายงานล่าสุดของ Pew Research Center ที่สำรวจความคิดเห็นของวัยรุ่นและพ่อแม่ชาวอเมริกันที่มีต่อโซเชียลมีเดียและสมาร์ตโฟน รายงานนี้ทำให้เห็นว่าวัยรุ่นคิดอย่างไรกับการใช้โซเชียลของตัวเอง
การศึกษานี้สำรวจวัยรุ่นอเมริกัน 1,391 คน อายุ 13-17 ปี และพ่อแม่ของพวกเขา ผลสำรวจพบว่า
[ ] 48% ของวัยรุ่นมองว่าโซเชียลมีเดียส่งผลเสีย “ค่อนข้างมาก” ต่อคนวัยเดียวกัน ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก 32% ในปี 2022
[ ] มีแค่ 11% เท่านั้นที่คิดว่าโซเชียลมีเดียส่งผลดี “ค่อนข้างมาก” ต่อเพื่อนวัยรุ่นด้วยกันเอง
[ ] มีแค่ 14% มองว่าโซเชียลมีเดียส่งผลเสีย “ค่อนข้างมาก” ต่อตัวเองโดยตรง เพิ่มขึ้นจาก 9% ในปี 2022
ที่น่าสนใจคือ วัยรุ่นหลายคนพยายามลดการใช้โซเชียลมีเดียด้วยตัวเอง โดย 45% บอกว่าเล่นโซเชียลมากเกินไป เพิ่มขึ้นจาก 36% ในปี 2022 และ 44% บอกว่าได้ลดเวลาเล่นโซเชียลมีเดียและสมาร์ตโฟนแล้ว
วัยรุ่นรายหนึ่งให้ความเห็นว่า การใช้โซเชียลมีเดียมากไปเป็นสาเหตุหลักๆ ที่ทำให้คนวัยเดียวกันซึมเศร้า หลายคนปล่อยให้ตัวเองเครียดกับความคิดเห็นของคนที่ไม่รู้จัก ซึ่งทำลายสภาพจิตใจได้มาก
ในส่วนของผลกระทบจากการใช้โซเชียลมีเดีย ผลสำรวจนี้ชี้ว่ามีความแตกต่างกันไปตามเพศและเชื้อชาติ เด็กผู้หญิงมักจะบอกว่าโซเชียลมีเดียทำให้นอนหลับน้อยลง ทำงานได้น้อยลง มีปัญหาสุขภาพจิต และขาดความมั่นใจ ซึ่งมากกว่าเด็กผู้ชายเล็กน้อย
ผลสำรวจนี้สอดคล้องกับงานวิจัยปี 2019 ที่พบว่าโซเชียลมีเดียอาจเชื่อมโยงกับภาวะซึมเศร้าในเด็กผู้หญิงมากกว่าเด็กผู้ชาย โซเชียลมีเดียอาจทำร้ายสุขภาพจิตเด็กผู้หญิงมากกว่า เพราะมีแนวโน้มจะเจอกับการกลั่นแกล้งมากขึ้น และมีกิจกรรมน้อยลงที่ช่วยเสริมสุขภาพ เช่น การนอนหลับพักผ่อน
และแน่นอนว่าสุขภาพจิตของเด็กและวัยรุ่นเป็นเรื่องที่หลายคนกังวล โดย 89% ของพ่อแม่และ 77% ของวัยรุ่น บอกว่าพวกเขารู้สึก “ค่อนข้างกังวล” หรือ “กังวลมาก” กับปัญหานี้
พ่อแม่กังวลเกี่ยวกับผลกระทบของโซเชียลมีเดียต่อลูกๆ มากกว่าตัววัยรุ่นเอง จากผลสำรวจพบว่า 44% ของพ่อแม่คิดว่าโซเชียลมีเดียเป็นตัวการหลักที่ทำให้สุขภาพจิตของวัยรุ่นแย่ลง และอีก 14% มองว่าเทคโนโลยีโดยรวมก็ส่งผลเสียเช่นกัน แต่ในมุมของวัยรุ่นเอง มีแค่ 22% ที่รู้สึกว่าโซเชียลมีเดียส่งผลลบ และเพียง 8% ที่มองว่าเทคโนโลยีเป็นปัญหา
ผู้ปกครองรายหนึ่งให้ความเห็นว่า เทคโนโลยีทำให้เด็กๆ กลัวที่จะลองทำอะไรใหม่ๆ มีความคิดสร้างสรรค์น้อยลง และแก้ปัญหาไม่เป็น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความสัมพันธ์หรือเรื่องทั่วไปในชีวิต
อย่างไรก็ตาม โซเชียลมีเดียก็ไม่ได้มีแต่ข้อเสียเสมอไป โดยเกือบ 6 ใน 10 ของวัยรุ่นบอกว่าโซเชียลมีเดียเป็น “พื้นที่แสดงความคิดสร้างสรรค์” และคนส่วนใหญ่มองว่าโซเชียลมีเดียช่วยให้ตามทันชีวิตของเพื่อนๆ ได้
แล้วพ่อแม่ควรรับมืออย่างไรดี?
ปฏิเสธไม่ได้ว่าในแง่หนึ่งโซเชียลมีเดียก็อาจส่งผลเสียต่อสุขภาพจิตของเด็กได้จริงๆ ดังนั้นผู้ปกครองจึงต้องเข้าใจและหาวิธีช่วยให้ลูกใช้โซเชียลมีเดียอย่างสมดุล และต่อไปนี้คือคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญของ Yale Medicine ที่จะช่วยให้พ่อแม่รับมือกับเรื่องนี้ได้ดีขึ้น
1. วางแผนการใช้โซเชียลมีเดียตั้งแต่เนิ่นๆ เด็กเล็กไม่ควรมีอุปกรณ์ที่เข้าถึงโซเชียลได้เต็มที่ เริ่มจากโทรศัพท์แบบธรรมดาก่อน ค่อยๆ เพิ่มการเข้าถึงตามวัยและความรับผิดชอบ เพื่อให้เด็กค่อยๆ เรียนรู้และรับผิดชอบกับการใช้โซเชียลมีเดีย
2. ห้ามนำโทรศัพท์เข้าห้องนอน สร้างกติกาให้ทุกคนในบ้านปิดโทรศัพท์ก่อนนอนอย่างน้อย 1 ชั่วโมง หรือให้วางโทรศัพท์ไว้นอกห้องนอน เพราะการนอนดีเป็นเรื่องสำคัญที่สุดสำหรับสุขภาพจิตวัยรุ่น และการใช้โซเชียลมีเดียมากเกินไปอาจส่งผลเสียต่อการนอน
3. เปิดใจคุย ไม่จับผิด ไม่ควรแอบดูข้อความหรือกิจกรรมของลูกบนโซเชียล ให้พวกเขามีพื้นที่ส่วนตัว แต่พร้อมคุยเมื่อมีปัญหา ชวนถามว่าโซเชียลมีข้อดีข้อเสียอะไรบ้างในมุมมองของลูก เพื่อสร้างความไว้วางใจและความเข้าใจร่วมกัน
4. ใช้คำพูดที่เหมาะสม แทนที่จะบ่นหรือดุด่าว่าลูกเล่นโทรศัพท์มากเกินไป ควรใช้คำพูดที่แสดงความห่วงใย เช่น สังเกตว่าลูกดูเหนื่อย อาจเป็นเพราะเล่นโทรศัพท์ดึก และชวนลูกคิดหาวิธีแก้ไขร่วมกัน เพื่อให้ลูกรู้สึกว่าพ่อแม่เข้าใจและพร้อมช่วย
5. ทำตัวเป็นแบบอย่าง กฎที่เราตั้งให้ลูก เราต้องทำได้ด้วย เช่น ถ้าขอให้ลูกวางโทรศัพท์ตอนทานข้าว พ่อแม่ก็ควรวางโทรศัพท์ด้วย เพื่อแสดงความรับผิดชอบและเป็นตัวอย่างที่ดีให้ลูกเห็น
โซเชียลมีเดียเป็นเรื่องที่ทั้งตัวเด็กเองและผู้ปกครองกังวลมากขึ้นเรื่อยๆ แต่แทนที่จะห้ามหรือกีดกันลูกออกจากโลกออนไลน์ เราควรหาวิธีรับมืออย่างเหมาะสม เพื่อให้เด็กๆ ได้ใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี โดยลดผลกระทบด้านลบให้น้อยที่สุด สุดท้ายแล้ว สิ่งสำคัญไม่ใช่การห้ามปราม แต่เป็นการนำพาลูกให้เติบโตเป็นผู้ใช้เทคโนโลยีที่ชาญฉลาดและมีความรับผิดชอบ
อ้างอิง
– Nearly half of teens say social media is bad for youth mental health, report finds : Clare Duffy, CNN – https://bit.ly/4jLnwNz
– Social media is not wholly terrible for teen mental health, study says : Amanda Silberling, TechCrunch – https://bit.ly/4cMpLxJ
– How Social Media Affects Your Teen’s Mental Health: A Parent’s Guide : KATHY KATELLA, Yale Medicine – https://bit.ly/3EiPQrG
#trend
#psychology
#socialmedia
#missiontothemoon
#missiontothemoonpodcast