ปัจจุบันเราอยู่ในโลกที่เต็มไปด้วยความสะดวกสบาย ตั้งแต่การกดสั่งอาหาร จนถึงการชอปปิงออนไลน์ ทุกอย่างถูกออกแบบให้เราใช้ชีวิตง่ายขึ้น ทำให้เราเริ่มเชื่อว่า “ชีวิตที่ดี” คือชีวิตที่ราบรื่น ไม่มีปัญหา และเต็มไปด้วยความสุข โดยเฉพาะเมื่อเราเห็นภาพในโซเชียลมีเดียที่คนอื่นดูมีความสุขตลอดเวลา
แต่ความคิดนี้กำลังจะถูกท้าทายให้เราคิดทบทวนใหม่อีกครั้ง เมื่อศาสตราจารย์ Tal Ben-Shahar จากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยาเชิงบวก ได้กล่าวว่าปรากฏการณ์นี้เป็น “มายาคติของความสุขแบบต่อเนื่อง” (The Myth of Continuous Happiness) ซึ่งทำให้ผู้คนคาดหวังว่าจะต้องรู้สึกดีตลอดเวลา
สิ่งนี้สร้างความกดดันและนำไปสู่ความผิดหวังเมื่อเผชิญกับความท้าทายที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ในชีวิตจริง แต่เมื่อเราคาดหวังแบบนั้น แล้วชีวิตจริงไม่เป็นไปตามที่หวัง เรากลับรู้สึกผิดหวัง เครียด และไม่พอใจมากขึ้นเรื่อยๆ ปรากฏการณ์นี้ถูกเรียกในวงการจิตวิทยาว่า “ผลกระทบของความคาดหวังที่ไม่สมปรารถนา” (Expectation Discrepancy Effect)
คำถามจึงไม่ใช่แค่ “ทำไมชีวิตมันยาก?” แต่เป็น “ทำไมเราถึงคิดว่ามันควรจะง่าย?”
ล่าสุด งานวิจัยทางจิตวิทยาหลายชิ้นพบว่า มันอาจจริงที่ว่า ชีวิตจะง่ายขึ้นมาก ถ้าเราเลิกคาดหวังตั้งแต่แรกว่ามันต้องง่าย
ปัญหาของการแสวงหาความสุข เมื่อความสุขกลายเป็นความกดดัน
งานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร Emotion โดย Dr. Iris Mauss และคณะ (2011) พบว่า “ยิ่งเราพยายามแสวงหาความสุขมากเท่าไร เรากลับยิ่งรู้สึกผิดหวังและไม่มีความสุขมากขึ้นเท่านั้น” โดยการศึกษานี้ได้ทำการทดลองกับกลุ่มตัวอย่าง 282 คน แบ่งเป็นกลุ่มที่ให้ความสำคัญกับการแสวงหาความสุขสูงและกลุ่มที่ไม่ได้เน้นเรื่องนี้
ผลการวิจัยชี้ให้เห็นว่า กลุ่มที่ให้ความสำคัญกับการแสวงหาความสุขมากเกินไปมีแนวโน้มที่จะเกิดอาการซึมเศร้า วิตกกังวล และมีความพึงพอใจในชีวิตต่ำกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ
เช่นเดียวกับงานวิจัยของ Dr. Todd Kashdan จากมหาวิทยาลัย George Mason ที่พบว่าคนที่พยายามหาความสุขอย่างจริงจัง กลับเครียด หงุดหงิด และรู้สึกไม่พอใจกับชีวิตมากกว่าคนที่ยอมรับทั้งด้านบวกและด้านลบของชีวิต
นี่ไม่ได้หมายความว่า “เราไม่ควรมีความสุข” แต่เป็นการเตือนว่า การคาดหวังให้ทุกวันต้องสมบูรณ์แบบ จะทำให้เรากลับทุกข์มากขึ้น ปรากฏการณ์นี้ถูกเรียกว่า “กับดักการไล่ล่าความสุข” (The Happiness Paradox)
ทำไมเราถึงคาดหวังมากเกินไป
แล้วทำไมเราถึงตกหลุมพรางนี้? การศึกษาด้านประสาทวิทยาของ Dr. Daniel Kahneman (นักจิตวิทยาผู้ได้รับรางวัลโนเบล) ที่ศึกษาเกี่ยวกับ “System 1 and System 2 Thinking” พบว่าสมองมนุษย์มีความลำเอียงโดยธรรมชาติที่จะมองหาความสะดวกสบายและหลีกเลี่ยงความยากลำบาก เมื่อผสานกับปัจจัยภายนอกในสังคมปัจจุบัน ทำให้เกิดพายุความคาดหวังที่สูงเกินจริงอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ
โดยปัจจุบันมีหลายสิ่งที่ทำให้เราคาดหวังสูงเกินจริง ไม่ว่าจะเป็น
[ ] โซเชียลมีเดีย
เราเห็นแต่ภาพสวยๆ ของชีวิตคนอื่น ทำให้เราคิดว่าชีวิตเราก็ควรเป็นแบบนั้น เรามักเปรียบเทียบชีวิตจริงของเราที่มีทั้งขึ้นและลง กับเรื่องราวที่ผ่านการคัดกรองแล้วของคนอื่น ซึ่งส่วนใหญ่นำเสนอแต่ช่วงเวลาที่ดีที่สุดเท่านั้น
[ ] เทคโนโลยีที่อำนวยความสะดวก
เมื่อทุกอย่างสั่งได้ง่ายๆ เราก็เริ่มคิดว่าทุกอย่างในชีวิตก็ควรง่ายเช่นกัน เกิดเป็นปรากฏการณ์ที่เรียกว่า “การขยายความคาดหวัง” (Expectation Amplification) ที่ส่งผลกระทบต่อทุกมิติของชีวิต ซึ่งล้วนเกิ ดจากการที่เราถูกปรนเปรอด้วยความสะดวกสบายจนเกิดภาวะ “ทนความยากลำบากไม่ได้” (Low Frustration Tolerance)
[ ] กระแสการพัฒนาตนเอง
ประเด็นนี้ Dr. Svend Brinkmann นักจิตวิทยาชาวเดนมาร์ก ได้วิพากษ์วิจารณ์ในหนังสือ “Stand Firm” ว่า วัฒนธรรมการพัฒนาตนเองบางครั้งสร้างแรงกดดันให้เราต้องมีความสุข ประสบความสำเร็จ และพัฒนาตัวเองอยู่ตลอดเวลา จนเกิดเป็น “ความเครียดจากการพัฒนาตนเอง” (Self-improvement Stress)
เปลี่ยนความคาดหวังที่เป็นพิษ ให้เป็นมิตรกับชีวิตจริง
จากการศึกษาทั้งหมดที่ได้หยิบยกมา การเลิกคาดหวังสูงเกินไปไม่ใช่เรื่องของการยอมแพ้ แต่เป็นศิลปะของการปรับสมดุลทางจิตใจให้สอดคล้องกับความเป็นจริง การปรับความคาดหวังเหมือนการปรับระดับเสียงให้ไม่ดังหรือค่อยจนเกินไป เพื่อให้ได้ยินเสียงที่ชัดเจนและไพเราะที่สุด
[ ] ฝึกการอยู่กับปัจจุบัน
การฝึกสติช่วยให้เราตื่นรู้กับความคิดและความรู้สึกที่กำลังเกิดขึ้น เมื่อเราสังเกตเห็นว่าตัวเองกำลังคาดหวังสูงเกินไปหรือกำลังเปรียบเทียบชีวิตตัวเองกับคนอื่น เราจะสามารถหยุดและปรับมุมมองได้ทันที
เราสามารถทำได้โดยนั่งสมาธิสั้นๆ วันละ 10 นาที โดยเน้นการรับรู้ลมหายใจและความรู้สึกในร่างกาย ฝึกหยุดคิดเมื่อรู้สึกว่ากำลังเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น และเวลารู้สึกเครียดหรือผิดหวัง ให้หายใจลึกๆ และถามตัวเอง “ฉันกำลังคาดหวังอะไรที่ไม่สมเหตุสมผลอยู่หรือเปล่า?”
[ ] ตั้งเป้าหมายที่ยืดหยุ่น
แทนที่จะตั้งเป้าหมายแบบตายตัวที่เน้นแค่ความสำเร็จ ลองตั้งเป้าหมายที่เน้นกระบวนการและการเรียนรู้ เป้าหมายแบบยืดหยุ่นทำให้เราไม่ยึดติดกับผลลัพธ์มากเกินไป และเปิดใจรับกับความเป็นไปได้ที่หลากหลาย
เช่น “ฉันจะทำงานอย่างเต็มที่” แทนที่จะเป็น “ฉันต้องได้เลื่อนตำแหน่ง” หลีกเลี่ยงการตั้งเป้าหมายที่มีเงื่อนไขความสุข เช่น “ฉันจะมีความสุขก็ต่อเมื่อ…” และมีแผนสำรองเสมอ พร้อมปรับเปลี่ยนเมื่อสถานการณ์เปลี่ยนไป
[ ] เปลี่ยนคำพูดกับตัวเอง
ภาษาที่เราใช้สื่อสารกับตัวเองมีอิทธิพลอย่างมากต่อความคาดหวังและมุมมองที่เรามีต่อชีวิต คำพูดแบบเด็ดขาดมักนำไปสู่ความผิดหวังและตัดสินตัวเองรุนแรงเมื่อสิ่งต่างๆ ไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง โดยเราสามารถเปลี่ยนคำพูดกับตัวเองทำได้โดยเปลี่ยนคำว่า “ต้อง” “ควรจะ” เป็น “อาจจะ” “มีโอกาสที่” หรือ “ถ้าเป็นไปได้”
แทนที่จะบอกว่า “ฉันล้มเหลวอีกแล้ว” ลองพูดว่า “ครั้งนี้ยังไม่สำเร็จ แต่ฉันได้เรียนรู้…” และตั้งคำถามที่เปิดกว้าง เช่น “จะเกิดอะไรขึ้นถ้า…” แทนที่จะด่วนสรุปว่า “มันจะต้องแย่แน่ๆ…”
[ ] หาคุณค่าในทุกประสบการณ์
การมองเห็นคุณค่าและบทเรียนในทุกสถานการณ์ ไม่ว่าจะดีหรือร้าย ช่วยให้เราไม่ยึดติดกับความคาดหวังว่าชีวิตต้องราบรื่นตลอดเวลา
วิธีฝึกหาคุณค่าในทุกประสบการณ์ทำได้โดยจดบันทึกสิ่งที่ได้เรียนรู้จากความท้าทายที่เผชิญ ตั้งคำถามเชิงบวกกับตัวเอง เช่น “ประสบการณ์นี้สอนอะไรฉันบ้าง?” หรือ “ฉันจะเติบโตจากสิ่งนี้ได้อย่างไร?” และแบ่งปันเรื่องราวความล้มเหลวและการเรียนรู้กับคนอื่น เพื่อช่วยให้เห็นว่าความยากลำบากเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตทุกคน
อย่างไรก็ตามการเลิกคาดหวังว่าชีวิตต้องง่ายไม่ได้หมายความว่าเราต้องมองโลกในแง่ร้าย แต่เป็นการเปิดใจยอมรับว่า ชีวิตมีทั้งสุขและทุกข์ และนั่นคือธรรมชาติของการมีชีวิต อีกทั้งความยืดหยุ่นทางอารมณ์ ยังเป็นความสามารถในการยอมรับและจัดการกับอารมณ์ทั้งด้านบวกและด้านลบได้อย่างเหมาะสม ทำให้คุณมีความสุขง่ายๆ ในชีวิตได้มากขึ้น
เพราะเมื่อเรายอมรับความจริงนี้ได้ เราจะพบกับอิสรภาพที่แท้จริง
อ้างอิง
– Can Seeking Happiness Make People Unhappy? – Iris B. Mauss, Emotion – https://bit.ly/44To5Az
– Tal Ben-Shahar’s Happiness Model – Ben Janse, Toolshero – https://bit.ly/44rUqOY
– Review of the Upside of Your Dark Side: Why Being Your Whole Self – Not Just Your “Good” Self – Drives Success and Fulfillment, by Todd Kashdan and Robert Biswas-Diener – Acacia C. Parks, International Journal of Wellbeing – https://bit.ly/3F4rxxI
– System 1 and System 2 Thinking – Joshua Loo, The Decision Lab – https://bit.ly/3EXXnMH
– Resisting the Self-Improvement Craze – Svend Brinkmann, RSA YouTube Channel – https://bit.ly/4k3fPCp
#Happiness
#trend
#missiontothemoon
#missiontothemoonpodcast