NEWSTrendsสังคมตั้งคำถาม จำเป็นแค่ไหนที่ต้องมีวันลาปวดประจำเดือน?

สังคมตั้งคำถาม จำเป็นแค่ไหนที่ต้องมีวันลาปวดประจำเดือน?

‘ผู้ชายลาบวชได้ ทำไมผู้หญิงจะลาเพราะปวดท้องประจำเดือนไม่ได้’
‘ถ้ามีวันลาประจำเดือน นายจ้างก็ไม่ต้องจ้างผู้หญิงแล้ว’
‘ถ้าจะลาเยอะมากขนาดนั้นก็ไม่ต้องทำงานแล้ว กลับไปเป็นแม่บ้านเถอะ’

หนึ่งในประเด็นถกเถียงร้อนๆ จากแพลตฟอร์ม X (เดิมชื่อ Twitter) ที่ใกล้ตัว “คนทำงาน” ทุกคนมากจนอดจะหยิบมาพูดคุยกับทุกคนไม่ได้ เพราะการถกเถียงเรื่องของสวัสดิการ “วันลา” นั้นไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้นครั้งนี้เป็นครั้งแรก แต่ดำเนินต่อเนื่องมาโดยเกี่ยวข้องกับมิติทางสังคมมากมาย

ข้อถกเถียงประการแรกที่ทุกคนคงจะเคยได้ยินก็หนีไม่พ้น “วันลาหยุดตามกฎหมาย” ที่มีการตั้งคำถามว่ามันเพียงพอหรือไม่และสอดคล้องกับวัฒนธรรมการทำงานที่เปลี่ยนแปลงไปหรือเปล่า เนื่องจากกฎหมายแรงงานที่บังคับใช้ปัจจุบันยังเป็นจากเวอร์ชันพ.ศ. 2541 ผนวกกับฉบับแก้ไขเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

ทว่าสภาพสังคมปัจจุบัน โดยเฉพาะหลังโควิด-19 เกิดรูปแบบการทำงาน ข้อตกลงและสิ่งใหม่มากมาย เช่น การทำงานที่บ้าน การทำงานแบบยืดหยุ่น ก็สร้างช่องโหว่เรื่องการขาดลามาสาย การเบิกค่าทำงานล่วงเวลา (OT) และอื่นๆ อีกมากมาย

ผนวกกับเมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2567 เนื่องในโอกาสของ ‘วันสตรีสากล’ ก็มีการเดินขบวนเสนอ 11 ข้อเรียกร้องเพื่อลดความไม่เท่าเทียมที่กดทับแรงงานสตรี ตั้งแต่การเรียกคืนคุณค่าให้ ‘งานบ้าน’ หยุดความรุนแรงและการล่วงละเมิดในที่ทำงาน ไปจนถึงการเรียกร้อง “วันลาคลอด 180 วันของผู้หญิง และลาเพื่อช่วยเลี้ยงดูบุตร 30 วันของผู้ชาย” โดยต้องได้รับค่าจ้างตามจริง 100%

แน่นอนว่าทุกการเปลี่ยนแปลงย่อมก่อให้เกิดแรงต้านเป็นเรื่องปกติ ข้อถกเถียงล่าสุดก็เช่นกัน โดยประเด็นดังกล่าวเกิดจากผู้ใช้รายหนึ่งแสดงความคิดเห็นต่อนโยบายของคุณพุธิตา ชัยอนันต์ ส.ส.ประจำจังหวัดเชียงใหม่จากพรรคก้าวไกลว่าเป็น “สาเหตุให้ผู้หญิงตกงาน” เพราะเสนอโควตาวันลาเนื่องจากปวดท้องประจำเดือนเพิ่มจากวันลาป่วยเดือนละ 3 วัน

แพลตฟอร์ม X (เดิมชื่อ Twitter) กลายเป็นเวทีถกเถียงอีกครั้งเมื่อมีผู้มาออกความคิดเห็นตอบโต้ผู้ใช้ดังกล่าวมากมาย โดยความคิดเห็นแบ่งออกเป็นสองฝั่งใหญ่ๆ คือผู้สนับสนุนการเพิ่มวันลาปวดประจำเดือน และผู้ไม่สนับสนุนวันลาปวดประจำเดือน

สำหรับฝ่ายผู้ไม่สนับสนุนวันลาปวดประจำเดือนนั้นมีความคิดเห็นไปในทางเดียวกันว่า วันลาหยุดของผู้หญิงนั้น “เยอะเกินไป” เช่น หากวันลาคลอด 180 วันตามข้อเรียกร้องล่าสุด ประกอบกับวันลาประจำเดือน 3 วันต่อเดือนเป็น 36 วันต่อปี พักร้อนอีก 10 วันและลากิจอีก 10 วัน รวมกับวันหยุดเสาร์อาทิตย์เท่ากับผู้หญิงจะมีวันลาหยุด 365 วันหรือ 1 ปีเต็ม

นอกจากนั้นยังมีข้อกังวลถึงกรณีการ “ป่วยการเมือง” หรือการอ้างว่าปวดท้องประจำเดือนทั้งๆ ที่ไม่ได้ปวดจริงเพื่อเอาเวลาไปทำอย่างอื่น ด้วยเหตุผลเหล่านี้นำไปสู่ข้อสรุปที่ว่าการเพิ่มวันลาปวดประจำเดือนอาจทำให้ “เสียระบบการทำงาน” และ “ไม่เป็นธรรมกับนายจ้าง” เป็นต้น

สำหรับฝ่ายผู้สนับสนุนวันลาปวดประจำเดือนให้เหตุผลว่า ปัจจุบันมีองค์กรจำนวนมากที่ไม่อนุญาตให้มีการลาปวดประจำเดือน โดยไม่ให้นับเป็นการลาป่วยแต่นับเป็นวันลาพักร้อนหรือวันลาที่ไม่ได้รับค่าตอบแทน (Leave without pay) ทั้งที่การปวดท้องประจำเดือนก็ไม่ต่างอะไรกับการเจ็บป่วยทางกายและในหลายคนอาจได้รับผลกระทบทางสุขภาพจิตด้วยเช่นกัน

และถึงแม้ว่าจะมีบริษัทที่ยอมให้ลาปวดท้องประจำเดือนโดยนับเป็นวันลาป่วย ก็จะทำให้โควตาวันลาป่วยจริงของพนักงานหญิงน้อยลงกว่าที่ควรได้รับจริง กล่าวคือวันลาป่วยประจำปี 30 วัน หากปวดท้องประจำเดือนไตรมาสละ 3 วันก็นับเป็นครึ่งหนึ่งของสิทธิ์ลาป่วยทั้งหมดแล้ว หากปีใดเกิดเหตุป่วยหนักกะทันหันก็อาจถูกปัดเป็นวันลาที่ไม่ได้รับค่าตอบแทน (Leave without pay) จนเสียรายได้

กลับกันหากพิจารณาถือสิทธิ์ “ลาอุปสมบท” ของพนักงานชายที่กินเวลาตั้งแต่ 15-120 วันโดยรับเงินเดือนเต็ม ก่อให้เกิดคำถามว่าสวัสดิการที่ไม่ตอบโจทย์พนักงานชายที่ไม่มีแผนบวช ผู้นับถือศาสนาอื่นหรือเพศอื่นเช่นนี้เหตุใดจึงมีในบังคับกฎหมายได้ และเหตุใดสวัสดิการเพื่อรองรับสุขภาพของเพศอื่นๆ อย่างวันลาคลอด วันลาปวดประจำเดือน วันลาผ่าตัดแปลงเพศจึงกลายเป็นปัญหาทางธุรกิจ

นอกจากนี้ยังมีความคิดเห็นอีกส่วนหนึ่งกล่าวว่า ปัญหา “ป่วยการเมือง” สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกเพศ ทุกตำแหน่ง ทุกประเภทองค์กร โดยไม่เกี่ยวว่าองค์กรนั้นจะมีสวัสดิการวันลาเป็นอย่างไร เนื่องจากสาเหตุของปัญหาที่แท้จริงคือระบบขององค์กรที่ไม่ตอบโจทย์สุขภาพจิตและแรงจูงใจในการทำงานหรือรักษาผลปฏิบัติงานของพนักงานมากกว่า

กล่าวคือสวัสดิการวันลาที่เหมาะสมกับแต่ละความต้องการที่แตกต่างกันของกลุ่มคนในสังคมเป็นเป็นสิ่งที่จำเป็น นับเป็นการยอมรับความหลากหลายและผลักดันสังคมให้เอื้อต่อการดำรงชีวิตบนความหลากหลายมากขึ้น การเรียกร้องวันลาปวดประจำเดือนจึงไม่ใช่เพื่อความสบายของเพศหญิงแต่เป็นกระบวนการหนึ่งในการยอมรับความแตกต่าง

กรณีถกเถียงครั้งนี้นำไปสู่การตั้งคำถามว่าการศึกษาในประเทศไทยมีการสอนเรื่องสุขภาพของเพศหญิงน้อยกว่าจำเป็นจนนำไปสู่การไม่เข้าใจหรือไม่ เนื่องจากวัฒนธรรมไทยสมัยก่อนการพูดถึง “ประจำเดือน” เรียกได้ว่าแทบจะเป็น “คำต้องห้าม” (Taboo) ที่ไม่เหมาะสมในการยกมาพูดถึง ถกเถียง สอนหรือสนทนา ทั้งที่ควรเป็นบทเรียนที่สอนควบคู่ไปกับการมีเพศสัมพันธ์แบบป้องกันและปลอดภัย (Safe Sex) และความยินยอม (Consent) นั่นเอง

Advertisements
Advertisements

กรณีถกเถียงดังกล่าวยังทำให้เกิดคำถามต่อระบบการทำงานของไทยที่มีการจัดการที่ไม่ยืดหยุ่นจนทำให้ “วันลา” และ “สวัสดิการ” ต่างๆ เป็นปัญหาที่กระทบกับการดำเนินงานด้วย เนื่องจากในต่างประเทศมากมายก็มีวันลาปวดประจำเดือนเช่นเดียวกันเช่น

[ ] ไต้หวันมีการบังคับใช้กฎหมายตั้งแต่ปี 2013 ให้พนักงานหญิงสามารถลาด้วยประจำเดือนได้ 3 วันต่อปีแบบรับเงินเดือนปกติ
[ ] ประเทศฟิลิปปินส์บังคับใช้กฎหมายเมื่อปี 2019 ให้พนักงานหญิงสามารถลาด้วยประจำเดือน 2 วันต่อเดือนแบบรับเงินเดือนเช่นกัน
[ ] สเปนได้มีกฎให้พนักงานหญิงสามารถลาด้วยประจำเดือนได้ไม่มีกำหนดและรับเงินเดือนปกติ โดยมีใบรับรองแพทย์กำกับ

ยิ่งไปกว่านั้นวัฒนธรรม “Emotional Paycheck” ที่ทำให้ค่าแรงไม่ใช่ค่าตอบแทนเดียวที่ดึงดูดพนักงานเก่งๆ แต่เป็นสวัสดิการและวัฒนธรรมองค์กรไร้พิษ (Untoxic Work Environment & Culture) ที่ตอบโจทย์ทำให้องค์กรที่มีสายป่านถึงจำนวนมากจึงแข่งกันออกสวัสดิการ จนสร้างความคาดหวังและมาตรฐานใหม่ในการหางานและจ้างงาน

ทว่าองค์กรขนาดเล็กและองค์กรที่ยังอยู่ในช่วงการสร้างเนื้อสร้างตัวจนสายป่านไม่ถึงล่ะ? กลายเป็นตัวร้ายในสังคมที่เป็นผู้เอาเปรียบพนักงานเช่นนั้นหรือ? เนื่องจากค่าแรงและค่าต้นทุนในประเทศไทยนั้นแตกต่างจากธุรกิจต่างประเทศ รวมไปถึงวัฒนธรรมการทำงาน แรงจูงใจ เงื่อนไขชีวิตพนักงานและทักษะที่แตกต่างกันทำให้องค์กรต้องแบกรับความเสี่ยงมากมาย

สุดท้ายก็เกิดเป็น “ภาระ” ที่องค์กรต้องรับเพิ่มขึ้นโดยที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไม่ดำเนินการช่วยเหลือหรือสนับสนุนองค์กรให้สามารถตอบรับความคาดหวังของพนักงานโดยที่ยังดำเนินธุรกิจได้โดยสายป่านไม่ขาดเสียก่อน จนกลายเป็นคำถามว่าองค์กรจะต้องรับจบและแบกรับการเปลี่ยนแปลงนี้แต่เพียงผู้เดียวอย่างนั้นหรือ?

อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงนั้นกระทบกับทุกฝ่าย คงจะดีไม่น้อยหากองค์กรปรับมุมมองต่อพนักงานและหันมาสนใจพวกเขาในฐานะ “คน” มากกว่า “ต้นทุน” คงจะดีไม่น้อยหากสังคมเข้าใจความแตกต่างของแต่ละเพศ เพราะฉะนั้นการขยับและปรับเปลี่ยนคนละเล็กน้อยเพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืนอาจเป็นหนทางที่ยุติธรรมสำหรับทุกฝ่ายหรือไม่?

ตามที่กล่าวไปข้างต้นว่าประเด็นถกเถียงเรื่องสวัสดิการคนทำงานไม่ได้เกิดขึ้นเป็นครั้งแรกและก็คงไม่ใช่สุดท้าย เพราะสังคมยังคงเดินหน้าเปลี่ยนแปลงต่อไป เป็นที่น่าติดตามว่าการถกเถียงทั้งหลายเหล่านี้จะนำไปสู่ความเปลี่ยนแปลงอย่างไรและเมื่อใด หรือจะเปลี่ยนแปลงจริงๆ หรือไม่ ทุกคนคิดเห็นอย่างไรกับประเด็นเหล่านี้ มาแชร์กันได้ในคอมเมนต์เลย


ที่มา
– เช็ก 11 ข้อเรียกร้อง “วันสตรีสากล” ลาคลอด180 วัน-ขอหยุด 8 มี.ค.: Thai PBS – https://bit.ly/4b5slNL
– พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541: สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา – https://bit.ly/4beRohu
– What is menstrual leave, and which countries in the world have it?: Mushfika Anjum, Niki Oveisi, Free Period Canada – https://bit.ly/3UBAanf


#trend
#organizationalculture
#menstrualleave
#missiontothemoon
#missiontothemoonpodcast

Advertisements

LASTEST ARTICLES

LASTEST PODCAST

Mission To The Moon
Mission To The Moon
พื้นที่ที่สร้างขึ้นเพื่อแบ่งบันเรื่องราวเกี่ยวกับการทำธุรกิจ การตลาด แรงบันดาลใจ และข้อคิดในการใช้ชีวิต

POPULAR ARTICLES

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายคุกกี้ และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่มีความจำเป็น (Strictly Necessary Cookies)
    เปิดใช้งานตลอด

    คุกกี้ที่มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้งานและเข้าชมเว็บไซต์ได้อย่างเป็นปกติ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้ อย่างไรก็ตาม คุณสามารถบล็อคการใช้งานคุกกี้ได้จากเบราว์เซอร์ที่ใช้งาน ซึ่งอาจจะส่งผลกระทบกับการใช้งานเว็บไซต์ได้

  • คุกกี้สำหรับการวิเคราะห์และวัดผลการทำงาน (Performance Cookies)

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากคุณไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้

บันทึกการตั้งค่า